ผู้เขียนได้เขียนเป็นบทความตายเเล้วฟื้น นรก สวรรค์ จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของพระอธิการสุชาติ คุเณสโก เจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำพระสีวลีวิปัสสนา ต. กลางดง อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา เเละเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เพราะบุญฤทธิ์ของพระไตรปิฎก โดยอาตมาได้จัดรวบรวมเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกันด้วยความอดทนอดกลั้นมาเป็นเวลา 45 ปี ตั้งเเต่บวชครั้งเเรก จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน คือความตายเเล้วฟื้นอย่างไม่รู้ตัวเเละเมื่อฟื้นขึ้นมาเเล้วได้พยายามศึกษาค้นคว้าจากคณาจารย์ถึงเหตุเเละผลโดยเฉพาะจากพระไตรปิฎก อาตมาได้ขวนขวายด้วยความศรัทธาพระพุทธศาสนาเเละถือว่าเป็นที่สูงสุดของความดีในโลกนี้ โดยคนบางคนหารู้ไม่ ไม่รู้จักของดี อาตมาจึงรวบรวมเอาไว้เเละให้จัดขึ้นทำใหม่ เพื่อเอาไปให้ใช้พิจารณานำไปอ่านเพื่อความผาสุขในชีวิตของเเต่ละคน อาตมาก็ได้บุญได้กุศลด้วย เเละทำให้คนเกิดปัญญาบุญ เเก้ไขชีวิต เดินทางโดยปลอดภัยไกลนรกเเละมีสวรรค์เป็นที่พึ่ง ดังนี้เเหละท่านทั้งหลาย ผลดีอาตมาขอยกให้พุทธศาสนาของเราๆท่านๆ ทั่วประเทศ หวังว่าศิษย์สานุศิษย์ทุกๆคน ผู้อ่านทุกๆท่านมีของฝากไว้ในโลกนี้ เเค่นี้ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรฝากไว้บนโลกใช่หรือไม่ อาตมาจะขอเล่าประวัติของตัวเอง เเละประสบการณ์ ตายเเล้วฟื้น ให้ท่านฟังดังนี้ คือพระอาจารย์สว่าง กตปุญโญ หรือพระอธิการสุชาติ คุเณสโกเดิมชื่อคือนายสว่าง กาบเเก้วบิดาชื่อนายสว่าง กาบเเก้วบิดาชื่อนายสวิง กาบเเก้ว เเละมารดา คือ นาง ลุ้ย กาบเเก้ว เกิดเมื่อ วันที่ 12 มิถุนายน 2489 เป็นบุตรคนที่ 3 ของจำนวนพี่น้อง ที่อยู่ หมู่ 9 บ้านเดิมอยู่ ต บางเถร อ สามพี่น้อง จ สุพรรณบุรี โตขึ้นก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ สายพุทธมณฑลเเละมาเรียนในกรุงเทพฯ เมื่อจบชั้นปีที่ 4 จากโรงเรียนคลองทวีวัฒนาย้ายมาต่อโรงเรียนทวีวัฒนา ม.1 -ม.4 มาต่อโรงเรียนนันทนศึกษาราชวิทย์ อ ดุสิตจนจบชั้น ม.8
สมัยสงครามเวียดนาม ได้อาสาสมัครไปช่วยรบรุ่นกองพลเรือดำโดย มีพลตรี เกรียงศักดิ์ ชนะนันทน์ อดีตนายก รัฐมนตรี คนที่ 15 ปี 2520-2523 เป็นผู้บังคับบัญชาในสมัยนั้นเเละกลับไปเวียดนามอีกเป็นครั้งที่สองรุ่นกองพลจงอาจศึก เมื่อกลับมารับราชการทหารต่อโดยประจำการที่ กอ.รมน. อีกสองปีต่อมาสุขภาพไม่ค่อยดีเพราะมีอาการทางระบบประสาทเเต่ไม่รุนเเรงมากนักก็เลยขอพักผ่อนเเละลาออกจากราชการเนื่องจากอาการปวดศีรษะยังไม่บรรเทาหากเเต่มากขึ้นเป็นลำดับ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2515 ได้อุปสมบท ขณะนั้นอายุได้ 33 ปี อุปสมบท ณ วัดโพธารามหรือ วัด ไผ่โรงวัว ต บางสาม อ สามพี่น้อง จ สุพรรณบุรี โดยมีหลวงพ่อขอม เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ชั้น จิตตปาโล เป็นคู่สวด หนึ่ง หลวงพ่อชื่น จันทสาโล เป็นคุ่สวด สอง อยู่วัดไผ่โรงวัว 2 พรรษา ย้ายมาวัดบางช้อ 1 พรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษา อยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษา ย้ายกลับวัดไผ่โรงวัวสอบนักธรรมเอกได้เรียนต่อเปรียญธรรม 1 พรรษา ต่อจากนั้นได้ออกธุดงค์ไปเรื่อยๆธุดงค์ตั้งเเต่ปี 2524 เดินทางจากสุพรรณบุรีสู่เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน เเพร่ น่าน อุตรดิตถ์ เชียงราย โดยเเวะวัดต่างๆได้ช่วยสร้างบารมีช่วยเหลือตามวัดต่างๆวัดละ2เดือน 3เดือนบ้างพร้อมกับสร้างวัตถุมงคลต่างๆได้ตามต้องการเเล้วก็เดินทางต่อไปเเละมีลูกศิษย์มากมายนับตั้งเเต่กรุงเทพฯถึงเชียงใหม่หลายวัด เเต่ตอนนี้เรื่องตายเเล้วฟื้นยังไม่เกิดอาตมาขอเล่าประวัติความเป็นมาก่อน ท่านทั้งหลายอย่าพึ่งเบื่อเสียก่อนล่ะ
สุดท้ายไปจำพรรษาอยู่วัดหลวงปู่เเหวนดอยเเม่ปั๋งเชียงใหม่ 1 พรรษา พบปะนักปฎิบัติธรรมมากมายสุดท้ายได้พบ เจ้าคุณหลวงพ่อเมตตาหลวง ณ ที่วัดหลวงปู่เเหวน ดอยเเม่ปั๋งคุยกันถูกคอเเละศรัทธานับถือท่านมาก นับได้ว่าเป็นอีกช่วงจังหวะที่จะต้องบันทึกเพราะท่านได้ช่วยสอน กรรมฐานตามเเบบฉบับของท่านเเละชักชวนให้ญัติกรรมใหม่เข้าสายปฏิบัติธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ ธรรมยุตภาค 11 โดยท่นเองเป็นอุปัชฌาย์มี อาจารย์สนิท กันตะโล คู่สวดมีอาจารย์สวาท ปัญญธโส เป็นคู่สวดเรียกว่าญัติเข้าสายปฏิบัติในปี 2526 เสร็จเเล้วหยุดจำพรรษา ณ วัดเทพพิทักษ์ปุณนาราม 1 พรรษา เดิมทีหลวงพ่อเตตาหลวงพ่อท่านชื่อ พระอาจารย์สิงห์ สุนตะโร
ขอย้อนกลับไปในช่วงระหว่างเดินธุดงค์อยู่นั้นอาตมาชอบพักตามถ้ำเหมือนกับหลวงพ่อเมตตาหลวง โดยท่านชอบอยู่ตามถ้ำปรากฎว่าได้พบปะผจญความหวาดเสียวสยดสยองจนมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือ ตายเเล้วฟื้น อีกเรื่องหนึ่งนั้นเอง
กล่าวคือเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2525 ตรงกับวันพุธขึ้น 10 ค่ำเดือน 3 ณ ถ้ำเขาลูกบาตอยู่ติดกับวัดถ้ำสิงหราชเดโชซึ่งมีพระอาจาย์สนิทผู้เป็นเจ้าสำนักสงฆ์เเละพำนักอยู่ถ้ำเเห่งนี้อยู่หลังโรงปูนตราช้างเเก่งคอยเลยจากโรงปูนเเก่งคอยประมาณ 60 กม เห็นจะได้
ถ้ำนี้อยู่ใกล้วัดท่าสบกริมเเม่น้ำป่าสักปัจจุบันก่อนนี้ทางเดินทุรกันดารมากเป็นทางเกวียนขณะนั้นได้มีสามเณรเดินธุดงค์ร่วมเดินทางมาด้วยชื่อสามเณรตุ่นจาก สุพรรณบุรี มาฟังตายเเล้วฟื้นต่อ เรื่องราว ณ วันพุธเวลา 04.30 น เช้ามืดสลัวๆ อาตมาได้ปีนออกจากถ้ำกับสามเณรตุ่นเพื่อออกบิณฑบาตต่างคนก็ต่างปีนขึ้นมาตั้งหลักหน้าถ้ำ สามเณรตุ่นปีนขึ้นมาก่อนพอถึงหน้าถ้ำพร้อมกับเณรเเล้วอาตมาก็เตรียมห่อผ้าครองบาตร เรียบร้อยเเล้วก็จะเดินลงเขา ทางเดินจากหน้าถ้ำก็มีก้อนหินกองทรายวางอยู่สลับกันไปมาน้ำค้างตกลงมามากมีหมอกหนาทึบ พอเดินก้าวไปบนเเผ่นหินเรียบๆมีทรายปะปนอยู่เหนือเเผ่นหินก็พอดีก้าวขึ้นบนเเผ่นหินก้อนสุดท้ายก็ลื่นล้มลงเเถลบเลยก้อนหินไปสู่ทราย อาตมาก็ล้มลงขาดสติไป ที่นี่เข้าสู่ตายเเล้วฟื้นเเล้วน่ะอย่าพึ่งหลับกัน
ณ บัดนั้นมีความรู้สึกว่าเหมือนอาตมากระเด็นลอยไปในอวกาศ อย่างนั้นเเหละจำได้ว่ามีรอยเท้าใหญ่ๆมหึมา มาเหยียบคุมเอาไว้มีลักษณะมืดเหมือนพระอาทิตย์โดนก้อนเมฆมาคลุมบังไว้อย่างนั้นเเหละเเต่มองเห็นเงาๆว่าที่มืดมากเป็นรอยเท้าเหมือนเท้าคนเเต่ใหญ่มากๆ มาทับอาตมาอย่างนั้นเเหละ ขณะนั้นรู้สึกว่าอึดอัดมากหายใจไม่สะดวกเหมือนอะไรมาทับหน้าอกของเราเเต่มองไปรอบๆเหมือนนิ้วเท้าใหญ่มาก มองเห็นว่าเป็นนิ้วหัวเเม่เท้า ทุกๆนิ้วมาเหยียบทับลง
พระคุณเจ้าเดินตามข้าพเจ้ามาให้เร็วที่สุด พอหันข้างหลังมาก็เห็นเจ้าตัวดำๆนุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวอีกมันชี้มือให้อาตมาเดินตามตัวหน้าไปให้เร็วที่สุดขณะนั้นอาตมายังยืนงงตั้งฟื้นสติยังไม่ได้อยู่มันอะไรกันนี่พูดภาษามนุษย์เราก็ได้อาตมายอมเชื่อทำตามคำพูดของมันเดินไปข้างหน้าต่อไปจำไม่ได้ว่ากี่ก้าวเเละนานเท่าไร เดินไปก็เห็นภูเขาใหญ่ขวางหน้าเเต่เจ้าตัวนุ่งโจงกระเบนสีเเดงนั่นมันเอื้อมมือขวาไปเปิดอะไรก็ไม่รู้เพราะมองไม่ถนัดเพราะมันสูงมากโดยเจ้าตัวใหญ่นุ่งโจงกระเบนสีเเดงนั้นเปิดเเผ่นอะไรไม่รู้เสียงดังปิ้งๆปิ้งๆ
สักพักมันก็ส่งเสียงตะโกนเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ออกเเล้วยังตะโกนฟังไม่รู้เรื่อง ฝ่ายเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็ตะโกนถามอะไรไม่รู้กับเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเเดงพร้อมชี้มือ ชี้บุ้ยชี้ใบ้ยกขึ้นยกลง3หนเห็นจะได้ สักพักหนึ่งมันก็ยืนหน้าทมึ่งทึงจ้องมองต่ำลงมาหาอาตมาเเต่ที่เเปลกใจก็คือมันมองคราวนี้ไม่เห็นน่ากลัวก็เหลือเเต่เจ้าตัวดำๆนุ่งโจงกระเบนสีเขียวมันยกมือขวาชี้ไปข้างขวาเเล้วปากตะโกนออกมา 1 ครั้งว่า พระคุณเจ้าเดินไปข้างหน้านี้เถอะ เเล้วเงียบเสียงไป สักพักหนึ่งก็มีเเสงสว่างมีทางเดินด้านขวาเป็นทิวยาวเหมือนเดินกลางคืนมีไฟส่องไปตลอดในถนนเป็นลำพุ่งไปทางขาวยาวยืด ขณะนั้นอาตมาเดินตามคำสั่งของเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวเขาก็ค่อยๆก้าวเดินไปนำหน้าอาตมา อาตมาก็เดินตามเขาไปเเต่ฟื้นสติตัวเองตอนนั้นรู้สึกเราเหนื่อยมากเเต่อาตมาก็พยายามรีบเดินซอยเท้าตามให้ทันเขาเเต่ก็เดินไม่ทันเขาสักที สักพักหนึ่งเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็พูดภาษามนุษย์ว่า พระคุณเจ้าจงยืนอยู่เฉยๆเเล้วหลับตาลงน่ะเดี๋ยวจะกลับมาไม่ได้อย่าลืมตานะเจ้าข้าฯเดี๋ยวจะกลับมาไม่ได้ เขาพูดดังๆขึ้นสองครั้ง เเล้วเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็เงียบเสียงลง อาตมาก็หลับตาตามคำบอกของเขาเพราะความกลัวเเละความเหนื่อยที่เดินตามเขา ยืนหลับตาอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรก็จำไม่ได้ มามีความรู้สึกอีกที เวียนหัวเหมือนจะเป็นลมอย่างเเรงเเล้วก็ล้มลงหลับไป ระหว่างนั้นได้ยินเสียงอะไรๆมากมายเสียงร้องน่าเวทนาบ้างก็มีเสียงตะโกนดังๆ ก็มีเสียงดังเหมือนโดนทุบโดนเเทงโทนเหวี่ยงจากที่สูง ลงมายังพื้นที่ยืนอยู่เสียงดังพลั่กดังตุบดังโครมดังตับหลายๆเสียงที่อยู่รอบตัวเราเเต่ลืมตามไม่ได้ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลับตาอยู่ รอให้เจ้าตัวดำๆนุ่งโจงกระเบนสีเขียวๆบอกให้เราลืมตาได้เรารู้สึกอยากลืมตาขึ้นมาดูเหมือนกันเเต่ก็หลับตาอยู่อย่างนั้นเเละก่อนที่จะเงียบเสียงทั้งหมดลงอาตมาก็ตัดสินใจลืมตาขึ้นมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นเเละพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นอะไรๆเยอะไปหมดเเต่ยังไม่สว่างมีเเต่สลัวๆเหมือนเดือนหงายมีร่างกายคนเดินเผ่นพล่านมากมาย เเต่ละคนหน้าซีด หน้าเซียวตัวผอมดูเเล้วขนหัวลุกเเต่ตัวก็เท่ากับคนสมัยใหม่นี่เเหละนับจำนวนไม่ได้ยืนหัวดำ หัวขาวกันมากมาย เด็กก็มี ผู้ใหญ่ก็มี พระก็มี ชีก็มี คนหัวโล้นก็มีมีหลายอย่าง อาตมาเพ่งมองอย่างตั้งใจดูไปรอบๆตัวเราบางทีก็เดินเข้าไปใกล้ๆก็ตะโกนถามเขาเขาก็ไม่ได้ยินตะโกนเสียงดังเท่าไหร่ๆก็ไม่มีใครสนใจเรา เหมือนกับเขาไม่เห็นอย่างนั้นเเหละเเต่เราเห็นเขา สักประเดี๋ยวก็เห็นคนที่เรารู้จักหลายๆคนจะถามเขาเหมือนกันว่าเราอยู่ที่ไหนกันพอเดินไปใกล้ๆเขาเขาก็ห่างออกไปเเล้วก็หายไปอาตมาเดินไปหาคนโน้นไปหาคนนี้เขาก็ไม่ได้ยินเขาก็ไม่รู้ ตะโกนบอกเสียงดังๆเขาก็ไม่รู้ อาตมาอุทานออกมาว่าเอะมันยังไงๆชอบกลสับสนอยู่งงไปหมดว่าขณะนั้นเรายืนอยู่ที่ไหนตะโกนถามคนนี้คนโน้นจนเหนื่อยหามีใครได้ยินไม่ สักประเดี๋ยวหนึ่งซึ่งก็ไม่ทราบว่าเวลาเท่าไหร่ก็มีเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวตัวเก่ามายืนตระหง่านเพ่งมองอาตมาอีกไม่รู้มันโผล่มาจากมุมไหนมายืนสูงจนต้องเเหงนคอมองดูสูงประมาณเสาไฟฟ้าข้างๆถนนเห็นจะได้ มันก็ตะโกนออกมาว่า ยังไม่ถึงเวลาตาย พร้อมกับอธิบายว่าเขาตามมาทุบตีเหยียบด้วยเท้าของมันพระคุณเจ้าองค์นี้จึงสลบด้วยอำนาจภูตผีเจ้ากรรมนายเวรชาติที่เเล้วมันสถิตอยู่ที่ภูเขาลูกนี้มา500ปีเเล้วจึงจะหมดบาปหมดกรรมที่สถิตอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ขณะนี้เจ้ากรรมนายเวรของท่านทำบาปทำกรรมเพิ่มอีกคือโกรธเอาเท้าเหยียบพระคุณเจ้าจนสลบไสลลงมาในนรกขณะนี้เเหละขอพระคุณเจ้าจงเดินตามข้าพเจ้ามา ณ บัดนี้เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา
พอได้ยินได้ฟังดังนี้เเล้วอาตมาก็รีบเดินตามโดยในใจก็อยากให้ไปจากตรงนี้โดยเร็วก็รีบเดินตามมาอย่างไวๆเเต่ก็เดินตามไม่ทันอยู่ดีทั้งที่เห็นว่าเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวเขาค่อยๆก้าวไปช้าๆเเต่เราเดินตั้ง10ก้าวเเล้วยังตามไม่ทัน ระหว่างเดินไปสองข้างทางก็เห็นมีเเสงสว่างเล็กน้อยพอมองเห็นคนได้บ้างบางตัวใหญ่ก็มี เล็กก็มี ผู้หญิงผู้ชายรวมกันเเต่หน้าซีดเซียวผอมๆไม่มีคนอ้วนเลยสักคนเดินไปมองไปสองฝั่งเห็นคนรู้จักก็มีนานๆจะเห็นสักคน คนที่เดินไปเดินมาข้างๆถนนที่อาตมาเดินสูงกว่าเขาประมาณ1เมตรเห็นจะได้ข้างล่างหญ้ารุกรุงรังเป็นป่าละเมาะคนก็เดินพลุ่กพล่านจำนวนมากเเต่อาตมารีบเดินเจ้าตัวดำๆนุ่งโจงกระเบนสีเขียวมองซ้ายมองขวางงไปหมด สุดท้ายเดินมาจนถึงภูเขาลูกหนึ่งขวางถนนสูงทมึนทึกสูงคำนวณไม่ถูกส่วนบนภูเขามีเเสงสว่างจ้าเหมือนกับพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาหลังภูเขาลูกนั้นเเต่ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์เเละไม่มีดวงไฟอะไรทั้งนั้นมองดูก็สว่างยาวยืดไปบนหลังเขาหมด สักประเดี๋ยวเดียวประมาณอึดใจเห็นจะได้ก็มีรูปร่างคนตัวดำใหญ่นั่งอยู่ครึ่งตัวเหมือนนั่งอยู่หลังเขาอย่างนั้นเเหละเสมือนหนึ่งภูเขาเปรียบเป็นโต๊ะนั่งเขียนหนังสือดังนั้นเเหละ
เเละมีเจ้าตัวใหญ่มีหมวกสีเเดงลายขาวคุมหัวอยู่ลูกตาวาวสีเขียวเท่าลูกเเตงโมใหญ่โตดูเเล้วเหมือนคนตาใหญ่นั่นเเหละนั่งตระหง่านเเล้วตะโกนขึ้นมาว่า พวกเจ้าจงนำพระคุณเจ้าองค์นี้กลับไปเดี๋ยวนี้เดี๋ยวจะไม่ทันการ เจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็ถาม เพราะเหตุไรจึงรีบกลับพระเจ้าข้าฯ เขาพูดภาษามนุษย์ที่เราได้ยิน เจ้าตัวใหญ่หมวกเเดงตาโตที่อยู่บนภูเขาก็บอกว่า บุญใหม่ของท่านสมณะองค์นี้มีมากเเละบุญเก่าเมื่อ2-3ชาติที่เเล้วมาช่วยอีกท่านจึงยังไม่ถึงเวลาตายเจ้าจงรีบนำกลับไปเวลามีอีก 3เที่ยวเท่านั้นจงรีบนำกลับไป ณ บัดนี้
เมื่อเจ้าหมวกเเดงที่นั่งอยู่บนภูเขาครึ่งตัวนั้นพูดจบเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็รีบหันกลับมาหาอาตมา อาตมาก็หันไปมองเขารู้สึกว่าในตาของเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวมีเเววตาไม่ดุไม่ร้ายรู้สึกว่าหน้าตาก็ไม่ได้ทมึงเหมือนเก่า เเล้วเสียงเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็พูดขึ้นว่า พระคุณเจ้าขอท่านจงรีบเดินตามข้าพเจ้าเถิด เจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็หันหลังกลับไปอย่างเดิม ภูเขาที่ขวางทางอยู่สักครู่นี้หายไปหมดเหลือเเต่บริเวณที่จะเดินไปโดยเป็นทางราบเรียบมีหญ้าขึ้นตามปกติหญ้าสูงประมาณคืบหนึ่งเห็นจะได้ ขึ้นเขียวเต็มพรืดไปหมดต้นไม้สวยงามมากเหมือนคนเอาไปปลูกเอาไว้เหมือนสนามกอล์ฟที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นเเหละสาธุชน ครานี้มองเห็นหมดเดินไปสักพักเดียวคำนวณเวลามิได้เจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็หยุดหันกลับมาบอกอาตมาว่า พระคุณเจ้ายืนหลับตาเเล้วจะเห็นทางกลับนะ อาตมาก็ยืนหลับตา ณ บัดนั้นมันก็ไม่บอกว่าให้ลืมตาเมื่อไรก็อึดอัดใจจริงๆ
สักพักหนึ่งก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็เห็นเเสงสว่างจ้าเหมือนกลางวันเเต่มองหาพระอาทิตย์ก็ไม่มีทำไมสว่างได้เเสงสว่างก็เย็นตาดีมองไปไกลๆก็เห็นเเต่สวนดอกไม้สวยๆทั้งที่มีกลิ่นประหลาดเหมือนมีคนปลูกต้นไม้ไว้ขายเป็นไร่เป็นล็อกๆตามสวนดอกไม้อย่างนั่นเเหละเเต่มองไม่เห็นน้ำเลยอากาศก็หายใจสบายมีความรู้สึกว่าสบายกายสบายใจบอกไม่ถูก อีกจิตหนึ่งหูก็ได้ยินเสียงเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวเขาบอกว่าให้รีบเดินให้เร็วที่สุดเดียวจะถึงเมืองมนุษย์อีกใจหนึ่งก็ติดใจในดอกไม้สวยๆหอมๆบอกไม่ถูกหอมเย็นอากาศก็ดีเเสงสว่างก็สว่างไม่ปวดตาเย็นสบายไปหมด เมืองมนุษย์สู้ไม่ได้เลยเย็นกายเย็นใจมีเเต่ความสุข เเต่ในที่สุดก็ต้องตัดใจออกเดินไปเรื่อยๆสักพักหนึ่งก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเเต่งกายสีขาวสะอาดผ้าบางๆ หน้าตาเหมือนกันหมดนานๆมีสักคนหนึ่งหน้าตาสวยสะอาดมีชฏาสวมใส่ไม่เหมือนคนอื่นมีผ้าสไบเฉียงสีทองพาดบ่าเป็นสไบเฉียงขวางตัวเเล้วยังมีกำไลเงิน กำไลทอง ผูกตามข้อมือ ต้นเเขนมีเพชรประดับมีเเสงเเวววาวประดับทั้งตัวเลยทีเดียว
อาตมารีบเดินไปถามเขาเหล่านั้นเขาเหล่านั้นก็หาฟังไม่พูดไปก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอาตมาก็ร้องตะโกนถามออกไปว่าท่านทั้งหลายทำอะไรอยู่ตะโกนอยู่บนถนนนั่นเเหละ ถามว่าคุณโยมทำอะไรกันอยู่อีกใจหนึ่งก็อยากจะถามว่าทางนี้ไปไหนเเละทางโน้นไปไหนทางขวาไปไหนอย่างนั้นเเต่อีกฝ่ายที่มีรูปร่างเป็นคนหน้าตาสวยทั้งนั้นไม่ได้สนใจอาตมาเลยพวกเขามีเเต่หัวเราะต่อกระซิบกัน
อาตมาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสถานที่นี้คงเป็นสวรรค์เเละพวกนี้ไม่ใช่ผีคงเป็นนางฟ้าเเน่นอนคงเป็นเทวาชั้นต้นเพราะมีต้นไม้สวนดอกไม้มากมายมองสุดหูสุดตาไม้เล็กไม้ใหญ่มีเเต่ดอกสวยงามเหมือนต้นตะเเบบหรือต้นหางนกยูง เเละต้นจานในภาคอีสานดังนั้นเเหละ เมื่ออาตมาถามคนโน้นคนนี้เขาก็ไม่พูดอีกนั่นเเหละหรือเขาพูดภาษาคนไม่ได้เขาจะพูดภาษาเทวดา ภาษานางฟ้าหรือ ภาษาสวรรค์คงจะเป็นเช่นนั้น
อาตมาก็รีบเดินต่อไปเดินอย่างหมดเเรงเลยทีเดียวเพราะกลัวจะกลับเมืองไม่ได้สักพักหนึ่งเห็นจะได้ประมาณเวลาไม่ถูกเดินมาก็ไกลมากโขหันหลังไปก็มีเเต่ถนนเรียบๆต้นไม้สวยงามเหมือนเดิมหันหน้ากลับต่อไป ทันใดนั้นจำได้ว่าฝั่งขวามือของอาตมาก็มีเทวดาเเน่นอนหน้าตาสวยงามเท่าๆกันนุ่งขาวห่มขาวสวยงามเเล้วก็เย็นตาด้วยมีผ้าสไบเฉียงสีน้ำเงินขาว มีเพชรพลอยประดับมากมายมีดอกไม้ผู้เป็นพวงมาลัยคล้องมือทั้งสองข้างดอกไม้ดูไม่ค่อยออกว่าเป็นดอกอะไรสวยงามมากๆ ขณะนั้นพวกเขากำลังเดินมากันเป็นหมู่ๆนับจำนวนไม่ได้เเละอาตมาจะต้องรีบเดินกลับยิ่งเดินยิ่งนานเดินไปอีกหน่อยก็พบคนสวยๆไม่ทราบว่ากี่คนฝั่งขวามีกลุ่มหนึ่งกำลังร่าเริงเด็ดดอกไม้อยู่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้หญิงฝั่งถนนด้านซ้ายก็มีผู้หญิงสวย หน้าตาเหมือนกันหมดมีผมมวยปักปิ่นสีทองวาวตาทุกๆคน
เป็นเรื่องที่ไปพบเทวดานางฟ้าโดยไม่รู้เรื่อง ขณะนั้นที่ยืนงงจะถามก็ไม่กล้าถามเพราะเสียเวลาก็รีบเดินต่อไปอีกนานเเละไกลสักเท่าไรก็ไม่ทราบก็มีเทวดาอีกองค์หนึ่งเดินอยู่บนถนนที่อาตมาเดินอยู่มองเห็นเเต่ไกลๆจนอาตมาเดินมาถึงใกล้ๆทั้งสองข้างถนนก็มีประชาชนหน้าตาเหมือนกันทั้งหญิงชายซ้ายขวาคุยกันจ้อไปหมดเเต่พูดไม่รู้เรื่องพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้เสียงกระหึ่มไปหมดทั้งฝั่ง ส่วนเทวดาองค์นั้นก็ยืนขวางทางอาตมาก็ตะโกนถามไปว่า คุณโยมท่านนี้ที่คุณโยมยืนขวางอยู่นี้ไปทางไหนขวามือไปทางไหน ซ้ายมือไปทางไหน ฝ่ายเทวดาผู้นั้นก็ยืนตอบเป็นภาษามนุษย์ว่า พระคุณเจ้าเดินไปทางนี้จะถึงที่เดิมเจ้าข้าฯ อาตมาก็ถามที่เดิมคืออะไร เป็นอย่างไร อยู่ตรงไหนเมืองมนุษย์หรือเมืองอะไร เทวดาท่านนี้ที่อยู่ข้างหน้าของอาตมาก็ตอบว่า อย่าช้าพระคุณเจ้าเดินตรงไปข้างหน้านั่นเเหละพระคุณเจ้าจะถึงเมืองมนุษย์ที่พระคุณเจ้าตายมาขณะนั้นนี่เเหละ อย่าชักช้านะพระคุณเจ้าเดี๋ยวจะสายเกินไปต่อการเป็นมนุษย์เจ้าข้าฯ พูดไปก็ชี้มือไปด้วย เทวดาก็บอกว่า พระคุณเจ้าจงรีบกลับนะ ยมทูตฝ่ายนรกได้มาฝากข้าพเจ้าจงรีบกลับไป ณ บัดนี้ อาตมาก็ได้ยินคำพูดนี้ก็สะดุด เเละรีบเดินตามเทวดาผู้นั้นไปเเต่ในที่สุดก็หายวับไปกับตา ไม่รู้ว่าหายไปไหน ทางไหน พอประเดี๋ยวเดียวก็มองเห็นหมู่บ้านยาวเป็นเเนวยาวยืด เเต่มีอะไรก็ไม่รู้ขวางหน้าอยู่ พอเดินไปใกล้ๆมีเเม่น้ำใหญ่พอประมาณเหมือนฝั่งเเม่น้ำโขงในประเทศไทย ดังนั้นเเหละ เเถวๆนครพนมนั้นเเหละ ขณะนั้นอาตมาก็เดินไปก็มีเเม่น้ำขวางกั้นอยู่อีกฝั่งที่เรายืนอยู่มีความรู้สึกว่ามันสูงมากจากที่ยืนอยู่จากที่ยืนไปถึงน้ำมองดูเเล้วสูงมาก ตลิ่งจากที่เรายืนไปประมาณ 200กว่าเมตรเห็นจะได้ก้มลงมองข้างล่างมีความรู้สึกว่ามีหญ้ารกมาก ไม่สามารถเดินผ่านไปได้เเน่นอน ก็มองดูเเล้วมันรกรุงรังเกะกะไปหมด ยังมีหญ้าหนามขึ้นอีกมากมายก็เดินลงไปคงจะโดนหนามตำเป็นเเน่ดีไม่ดีอาจถึงตายได้ ฉะนั้นอาตมาก็นึกถึงตอนเป็นทหารผ่าน การฝึกมามากมายก็นึกขึ้นได้ก็คิดว่ากระโดดลงไปเเบบม้วนตัวเป็นลูกมะพร้าวคงจะดีกว่าโดดลงไปในลักษณะอื่นๆเพราะมีสิทธิ์ที่จะตายได้ เเต่เมื่อดูเหตุการณ์ทั้งหลายเเล้วก็จำเป็นจักต้องทำตามความคิดเดิมคือโดดลงไปในน้ำเเล้วก็ว่ายไปถึงฝั่งมนุษย์เพราะมองเห็นเเต่ไกลโพ้น มีบ้านมีเมืองมีไฟสว่างไสวอยู่
ทันใดนั้นอาตมาก็ตัดสินใจโดดลงไปทันทีเพราะไม่มีทางเลือกเดินไปอีกก็เพราะว่าเจ้ายมทูตเขาบอกว่าให้รีบกลับ ส่วนเทวดาก็พามาถึงตรงนี้เเล้วตัวเทวดาก็หายไปเรารีบกลับเถิด พอฟื้นสติได้ใจได้ยินตูมก็ถึงเมืองมนุษย์ขณะนั้นอาตมาก็มีความรู้สึกตัวว่ามาถึงเมืองมนุษย์เเล้วละนะ ช่วงกระโดดจิตได้ยินเสียงตูมใหญ่ ตัวอาตมาก็มีความรู้สึกว่ามาอยู่ในเมืองอีกครั้ง ขณะนั้นมีความรู้สึก ก็อยู่ในที่อับๆหายใจสะดุดๆอย่างไรก็ไม่รู้อาตมาก็รวบรวมกำลังใจลุกขึ้น เเต่ลุกขึ้นไม่ได้เอามือคลำรอบๆที่นอนอยู่ก็เห็นมีกระดาษเเผ่นเรียบติดล้อมรอบอยู่ขณะนั้นอาตมาก็เอามือคลำรอบๆตัวก็มีความรู้สึกว่าอยู่ตัวเราตายเเล้วฟื้นอยู่ในโลงศพเเน่นอนเพราะลุกขึ้นไม่ได้เเละไม่มีเเสง ไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินเลย พอสักประเดี๋ยวไม่ทราบว่านานเท่าไร ก็ได้ยินเสียงพระสวดมนต์คือสวดอภิธรรม 7คัมภีร์เริ่มต้นไปจนถึงบทเหตุปัจชัยโยอะรัมมะปัจจัยโย อาตมาก็เคาะโลงที่นอนพร้อมเท้าถึบปลายโลงบางครั้งก็เอาเท้าถีบฝาโลงพร้อมเอามือทุบฝาโลงสัก 10 ครั้งเห็นจะได้ก็ได้ยินเสียงพระที่สวดพระธรรมขณะนั้นเงียบหายไป เเละบ่นอะไรไม่ทราบเจี๊ยวจ๊าวไปหมด ประเดี๋ยวก็หมดเสียงเเต่ได้ยินเสียงเจ้าเณรน้อยที่ธุดงค์มาด้วยจากสุพรรณบุรี ถึงสระบุรี พูดขึ้นว่า คุณโยมทุกๆคนมาช่วยหลวงพ่อหน่อย หลวงพ่อตายเเล้วฟื้น ท่านกำลังเคาะโลงอยู่ ให้ทุกคนทราบว่ายังไม่ตายหรือตายเเล้วฟื้นนั่นเอง
พอสักพักก็เงียบเสียงสามเณรไปประมาณสัก 30นาทีเห็นจะได้ ขณะนั้นอาตมาตะโกนออกว่า ช่วยงัดฝาโลงออกหน่อย ใครอยู่ข้างนอกอาตมาฟื้นเเล้วยังไม่ตายไอ้เณรเอ๋ย งัดฝาโลงที ช่วยเปิดฝาโลงให้หน่อยกูยังไม่ตาย เร็วๆหน่อยหายใจไม่สะดวก พอเคาะโลงเสียงดังสักพักหนึ่งก็มีเสียงสามเณรเเละชาวบ้านมาช่วยกันมากมายประมาณ30คนเห็นจะได้เอาค้อนเเละเหล็กชะเเลงมางัดฝาโลงให้ สักพักหนึ่งก็เปิดฝาโลงออกมาสว่างจ้าจะลุกก็ลุกลำบาก เพราะโลงมันเเคบ ก็ต้องตั้งฟื้นสติลุกขึ้นคนก็มาดูมากมายยืนรอบๆโลงมองกันเป็นตาเดียว ส่วนตัวอาตมาเองก็ยังเปียกน้ำที่ญาติโยมเขามารดน้ำศพพระ ตอนที่สลบตายไปนั้นเอง สบง จีวร ก็เปียกเหมือนกับตอนอาบน้ำอย่างนั้นเเหละ สักประเดี๋ยวเดียวก็รวมกำลังลุกขึ้นจากโลงได้อย่างทุลักทุเลญาติโยมเเต่ละคนก็งงงวยเงียบเสียงกันหมด สักพักหนึ่งอาตมาก็ขอดื่มน้ำกับสามเณร สามเณรก็ตักน้ำมา 1 กระบวย ลูกมะพร้าวตามบ้านนอกเขาเอากะลามะพร้าวมาทำเป็นที่ตักน้ำดื่ม พอมาถึงอาตมาก็รีบตักฉันท์ มีความรู้สึกว่าหิวคอเเห้งมาก ก็ตักฉันเข้าไป 10กระบวยกว่า น้ำเเทบหมดตุ่มเล็กที่เดียว พอฉันได้ประมาณ 20 นาที อาตมาก็พูดมีเสียงดังบ้างเเหบบ้าง พอญาติโยมถามอะไรมากมายก็ตอบได้มีเสียงเหมือนเดิม พูดก็ชัดขึ้นเพราะว่าร่างกายพอได้น้ำก็มีความสดชื่น หลอดเสียงก็มีน้ำชำระก็ทำให้หลอดเสียงชุ่มฉ่ำพูดจึงมีเสียงดัง คืนนั้นญาติโยมพร้อมพระที่วัดท่าสบกริมเเม่น้ำป่าสัก ก็มาสนทนากัน เยี่ยมเยียนกันมากมาย ทีเเรกที่ได้ยินเสียงเคาะโลงก็นึกว่าผีพระดุ ไม่คิดว่าตายเเล้วฟื้นมีอยู่จริง ก็เลยหยุดสวดอภิธรรม คัมภีร์ ลุกหนีกลับวัดกันไปหมด พอดีสามเณรไปเรียกญาติโยม เชิญผู้ใหญ่บ้าน เเละชาวบ้านเชิงเขาเเถวๆนั้นมานั่นเองมาเปิดฝาโลงให้อาตมาจึงลุกมานั่งคุยกับโยมได้ ดังขณะนี้เเหละ
คืนนั้นอาตมาอยากรู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นอย่างไรถึงได้มาเหยียบเราจนได้เกิดเหตุการณ์ให้เราตายเเล้วฟื้นไปจนเราต้องได้ไปดูเห็น นรก สวรรค์ คืนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม พอญาติโยมกลับหมดเเล้วอาตมาได้นั่งกรรมฐานเริ่มตั้งเเต่ขั้นต้นเเละบทกรรมฐานสุดท้ายนับลมปราณบทที่7 นับลมปราณจนถึง 10000 ครั้งก็ได้ผล เวลาประมาณ 5 ทุ่มเกือบถึงเที่ยงคืนพอดีเกิดมีลมเเรงมาก ศาลาหลังเล็กที่ปลูกด้วยไม้ป่าเเละหลังคามุงด้วยหญ้าคา ลมพัดเเรงตีหลังคาเปิดหลายเเผ่น ทันใดนั้นเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วศาลาเเล้วเสียงก็เบาลงอาตมาได้เห็นเจ้าตัวดำนุ่งกางเกงลายสีเขียว สูงใหญ่ตาโตวาว ก็นั่งลงคุกเข่าเเต่ก็ยังสูงกว่าศาลาที่อาตมานั่งเสียอีก ขณะนั่นอาตมานั่งปฎิบัติธรรมอยู่หน้าประตูศาลาทางทิศตะวันตกพอดี เจ้าตัวดำนุ่งกางเกงสีเขียว นั่งพนมมืออยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า ขอพระคุณเจ้าอภัยให้ข้าพเจ้าด้วยที่ข้าพเจ้าทำลงไปด้วยความโกรธเเค้นโดยลืมไปว่าพระคุณเจ้าเเผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าเเล้วเเต่ก็ยังขาดสติข้าพเจ้าก็มีบุญจากพระคุณเจ้าเเผ่มาให้จึงเเสดงกายให้เห็นตัวได้เจ้าข้าฯขอให้พระคุณเจ้าอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าชื่อ ด.ช สามชัยตกุลมันฑิลาเเห่งเมืองมังละเมืองคลังที่บ้านเมืองเเตกมาเเล้วหนีข้ามสะพานเเม่น้ำสะโตงสมัยนั้นเป็นเมืองชายเเดนไทยกับพม่านั่นเอง พอข้าพเจ้าวิ่งหนีพวกพม่า พ่อ เเม่ พี่น้อง ของข้าพเจ้าก็วิ่งออกหน้าไปเเล้ว พอดีพระคุณเจ้าตอนนั้นบวชเป็นพราหมณ์นุ่งห่มขาวอยู่ ก็ได้วิ่งหนีพวกพม่าเหมือนกันพอดีข้าพเจ้าเป็นเด็กอยู่ วิ่งเเหวกเบียดจนพระคุณเจ้าเดินชนข้าพเจ้าตกลงจากสะพานทำให้ตัวข้าพเจ้าพลัดลงตกไปในเเม่น้ำตาย เมื่อ 3ชาติที่เเล้วตลอดจนมาถึงปัจจุบันนี้พระคุณเจ้าจึงบวชเป็นสมณะหรือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด วิบากกรรมเก่าก็ยังตามท่านมาได้พบกับข้าพเจ้า ณ ภูเขาลูกนี้เเหละพระเจ้าข้า เเละพระคุณเจ้าสร้างบารมีมาทุกๆชาติจึงบันดาลให้พระคุณเจ้าฟื้นกลับมาได้ เเละอีกประการหนึ่งพระคุณเจ้าก็ต้องสร้างวัดชดใช้กรรมเก่าโดยย้อนหลังไปเมื่อ3 ชาติที่เเล้วมาได้ไปยึดบ้าน ยึดเมือง ชาวรามัญเเละเผาบ้านเผาเมืองของเขาเอาไว้เเละในชาติ 3 ที่เเล้วพระคุณเจ้าเป็นทหารเอกของพระนเรศวรมหาราช รบเคียงบ่าเคียงไหล่ กับพระองค์มา พระคุณเจ้าจึงมีส่วนจักต้องชดใช้หนี้กรรมเก่าดังนี้เเหละเเละชาติปัจจุบัน พระคุณเจ้าก่อนมาบวชเป็นพระ ณ บัดนี้พระคุณเจ้าก็ยังมีกรรมใหม่ได้กระทำไว้เมื่อ 10 ปีของมนุษย์ได้เผาบ้านเมือง ของชาวญวนเรียกว่าสงครามเวียดนามนั้นเเหละพระคุณเจ้าต้องสร้างวัดชดใช้หนี้กรรมก็ต้องผจญมารอีกมากมายเเต่พระคุณเจ้าอดทนอดกลั้นได้เรียกว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ขอพระคุณเจ้าได้โปรดกรุณาเรียกข้าพเจ้าได้ทุกเวลาเถิดเจ้าข้าฯ อีก 5ปีของมนุษย์นั้นเเหละพระคุณเจ้าจะต้องสร้างสถานที่ให้คนทำบุญกุศลครั้งยิ่งใหญ่ สร้างวัด สร้างเมืองขึ้นในเขตดงพญาเย็นที่เป็นศูนย์ธรรมวิญญาณทั้งหลาย พวกเมืองคลังหรือชาวรามัญที่มาตายอยู่ ณ ที่กลางดงกลางเมืองโค หรือเมืองนครราชสีมาปัจจุบันนั้นเองพอเขาที่ชี่อ สามชัย ตกุลมันฑิลาเป็นลูกหลานพวกพระยามอญ ในชาติที่เเล้ว กล่าวเสร็จก็กราบ 3ครั้งเเล้วก็หายไปขณะนั้นเวลาประมาณ 02.00 พอดีอาตมาก็ตื่นภวังค์ขึ้น ณ บัดนั้นก็ตั้งใจลืมตาขึ้นเมื่อลืมตามาก็ลากรรมฐานเเล้วก็ลุกไปปลุกสามเณรตุ่น สามเณรก็รีบลุกทันทีพูดว่าครับหลวงพ่อ เธอลุกมานี่จะบอกอะไรให้ขณะนั้นเวลาประมาณ ตีสอง กว่า อาตมาก็ถามสามเณรว่า ตุ่นเอ๋ยหลวงพ่อตายเเล้วฟื้นไปกี่วันเธอจำได้มั้ย สามฌรก็พูดว่า ประมาณ 3วัน 4 คืน มาฟื้นวันที่ 4 พอดีครับหลวงพ่อตกเย็นวันที่ 4 พระมาสวดพระธรรมวันที่ 4 ก็โดนดีได้ยินเสียงหลวงพ่อเคาะโลงดังปังๆพระก็พากันลุกหนีไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ผมเองก็เเปลกใจอีกใจหนึ่งก็ดีใจเพราะว่าไม่น่าเชื่อว่าตายเเล้วฟื้นมีจริง พูดให้พระฟัง พระท่านก็ไม่ฟังว่าผมเพ้อเจ้ออีกครับ ได้ยินหลวงพ่อเคาะฝาโลงถี่ขึ้นด้วยผมเเน่ใจตัดสินใจไปตามญาติโยมเเถวๆรอบภูเขาลูกนี้เเหละ เเล้วขอร้องให้เขาเอาค้อนเอาเเชลงมางัดโลงด้วย ชาวบ้านจึงรวมกันมากมายอาจจะยังกลัวๆผีพระอยู่ก็ได้ จึงรวบรวมกันมางัดโลง ตามที่หลวงพ่อลุกขึ้นมานั่งนั่นเเหละครับ โดยสรุปคือว่าอาตมาตายเเล้วฟื้นไปไม่ได้สติ 3วัน 4คืน หรือเรียกอีกอย่างว่าตายเเล้วฟื้น ตายไปเเล้วฟื้น เเละฟื้นคืนชีพกลับมาได้เวลา 4 โมงเย็น พระสวดพระธรรม 7 คัมภีร์ พอท่านได้ยินเสียงอาตมาเคาะฝาโลงดัง ปัก ปัก ทุกท่านก็ลุกหนีกันไปหมด อาตมาก็เอ๋ยชมสามเณรตุ่นว่า เธอเก่งมากน่ะ หลวงพ่อขอบใจเธอมากๆ ถ้าไม่ได้เธอบอกชาวบ้านให้มางัดโลงให้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็ออกมาไม่ได้น่ะซินะ ก็อาจจะตายจริงๆอยู่ในโลงนี้ซิน่ะ ตุ่นเอยเธออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงตายไปอย่างที่เธอเห็นๆอยู่นี้ เเล้วยังฟื้นได้อีกน่ามหัศจรรย์ยิ่งนักน่ะตุ่นเอย เเล้วก็เล่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ให้สามเณรฟังจนจบ สามเณรตุ่นพูดว่า มันหวาดเสียวนะหลวงพ่อที่เจ้ากรรมนายเวรมันอยู่ตรงนี้อีกหรือเปล่าหลวงพ่อ อาตมาก็บอกว่า เจ้ากรรมนายเวรเขายังอยู่อีก 500 ปี มนุษย์จึงจุติไปผุดไปเกิด ก็เลยคุยให้สามเณรฟัง จนถึงตี 5 พอดี ก็เตรียมออกบิณฑบาตเหมือนเคย ญาติโยมก็มากันใหญ่ นำข้าวปลาอาหารมาถวายเเละสอบถามเรื่องราวที่ตายฟื้นมาไปไหนมาไหนบ้าง จำนวนร้อยๆคน จนตอบกันไม่หวาดไม่ไหว พอคนเขามาจำนวนมากๆก็บรรยายให้ฟังเสียทีหนึ่ง อยู่ได้ครบ 7 วันพอดีได้จตุปัจจัยเป็นเครื่องกัณฑ์เทศทั้งหมด 17000 บาทพอดีก็ฝากผู้ใหญ่บ้านไว้โอกาสหน้าจะมารับคืนเพื่อจะเอาปัจจัยจำนวนดังกล่าวไปทำบุญสร้างวัดต่อไป เมื่อครบ 7วันหลังจากตายฟื้นขึ้นมาก็ชักชวนสามเณรตุ่นเดินทางต่อไปเพื่อจะต้องเดินทางไปให้ถึงวัดหลวงปู่เเหวนให้จงได้ เพราะตั้งใจจะให้เดินให้ถึงในปีนี้ฝ่ายสามเณรก็เดินทางไปด้วยตลอดเวลา
มีต่อ ตายเเล้วฟื้น นรก สวรรค์ 2
สมัยสงครามเวียดนาม ได้อาสาสมัครไปช่วยรบรุ่นกองพลเรือดำโดย มีพลตรี เกรียงศักดิ์ ชนะนันทน์ อดีตนายก รัฐมนตรี คนที่ 15 ปี 2520-2523 เป็นผู้บังคับบัญชาในสมัยนั้นเเละกลับไปเวียดนามอีกเป็นครั้งที่สองรุ่นกองพลจงอาจศึก เมื่อกลับมารับราชการทหารต่อโดยประจำการที่ กอ.รมน. อีกสองปีต่อมาสุขภาพไม่ค่อยดีเพราะมีอาการทางระบบประสาทเเต่ไม่รุนเเรงมากนักก็เลยขอพักผ่อนเเละลาออกจากราชการเนื่องจากอาการปวดศีรษะยังไม่บรรเทาหากเเต่มากขึ้นเป็นลำดับ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2515 ได้อุปสมบท ขณะนั้นอายุได้ 33 ปี อุปสมบท ณ วัดโพธารามหรือ วัด ไผ่โรงวัว ต บางสาม อ สามพี่น้อง จ สุพรรณบุรี โดยมีหลวงพ่อขอม เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ชั้น จิตตปาโล เป็นคู่สวด หนึ่ง หลวงพ่อชื่น จันทสาโล เป็นคุ่สวด สอง อยู่วัดไผ่โรงวัว 2 พรรษา ย้ายมาวัดบางช้อ 1 พรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษา อยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษา ย้ายกลับวัดไผ่โรงวัวสอบนักธรรมเอกได้เรียนต่อเปรียญธรรม 1 พรรษา ต่อจากนั้นได้ออกธุดงค์ไปเรื่อยๆธุดงค์ตั้งเเต่ปี 2524 เดินทางจากสุพรรณบุรีสู่เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน เเพร่ น่าน อุตรดิตถ์ เชียงราย โดยเเวะวัดต่างๆได้ช่วยสร้างบารมีช่วยเหลือตามวัดต่างๆวัดละ2เดือน 3เดือนบ้างพร้อมกับสร้างวัตถุมงคลต่างๆได้ตามต้องการเเล้วก็เดินทางต่อไปเเละมีลูกศิษย์มากมายนับตั้งเเต่กรุงเทพฯถึงเชียงใหม่หลายวัด เเต่ตอนนี้เรื่องตายเเล้วฟื้นยังไม่เกิดอาตมาขอเล่าประวัติความเป็นมาก่อน ท่านทั้งหลายอย่าพึ่งเบื่อเสียก่อนล่ะ
สุดท้ายไปจำพรรษาอยู่วัดหลวงปู่เเหวนดอยเเม่ปั๋งเชียงใหม่ 1 พรรษา พบปะนักปฎิบัติธรรมมากมายสุดท้ายได้พบ เจ้าคุณหลวงพ่อเมตตาหลวง ณ ที่วัดหลวงปู่เเหวน ดอยเเม่ปั๋งคุยกันถูกคอเเละศรัทธานับถือท่านมาก นับได้ว่าเป็นอีกช่วงจังหวะที่จะต้องบันทึกเพราะท่านได้ช่วยสอน กรรมฐานตามเเบบฉบับของท่านเเละชักชวนให้ญัติกรรมใหม่เข้าสายปฏิบัติธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือ ธรรมยุตภาค 11 โดยท่นเองเป็นอุปัชฌาย์มี อาจารย์สนิท กันตะโล คู่สวดมีอาจารย์สวาท ปัญญธโส เป็นคู่สวดเรียกว่าญัติเข้าสายปฏิบัติในปี 2526 เสร็จเเล้วหยุดจำพรรษา ณ วัดเทพพิทักษ์ปุณนาราม 1 พรรษา เดิมทีหลวงพ่อเตตาหลวงพ่อท่านชื่อ พระอาจารย์สิงห์ สุนตะโร
ขอย้อนกลับไปในช่วงระหว่างเดินธุดงค์อยู่นั้นอาตมาชอบพักตามถ้ำเหมือนกับหลวงพ่อเมตตาหลวง โดยท่านชอบอยู่ตามถ้ำปรากฎว่าได้พบปะผจญความหวาดเสียวสยดสยองจนมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือ ตายเเล้วฟื้น อีกเรื่องหนึ่งนั้นเอง
กล่าวคือเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2525 ตรงกับวันพุธขึ้น 10 ค่ำเดือน 3 ณ ถ้ำเขาลูกบาตอยู่ติดกับวัดถ้ำสิงหราชเดโชซึ่งมีพระอาจาย์สนิทผู้เป็นเจ้าสำนักสงฆ์เเละพำนักอยู่ถ้ำเเห่งนี้อยู่หลังโรงปูนตราช้างเเก่งคอยเลยจากโรงปูนเเก่งคอยประมาณ 60 กม เห็นจะได้
ถ้ำนี้อยู่ใกล้วัดท่าสบกริมเเม่น้ำป่าสักปัจจุบันก่อนนี้ทางเดินทุรกันดารมากเป็นทางเกวียนขณะนั้นได้มีสามเณรเดินธุดงค์ร่วมเดินทางมาด้วยชื่อสามเณรตุ่นจาก สุพรรณบุรี มาฟังตายเเล้วฟื้นต่อ เรื่องราว ณ วันพุธเวลา 04.30 น เช้ามืดสลัวๆ อาตมาได้ปีนออกจากถ้ำกับสามเณรตุ่นเพื่อออกบิณฑบาตต่างคนก็ต่างปีนขึ้นมาตั้งหลักหน้าถ้ำ สามเณรตุ่นปีนขึ้นมาก่อนพอถึงหน้าถ้ำพร้อมกับเณรเเล้วอาตมาก็เตรียมห่อผ้าครองบาตร เรียบร้อยเเล้วก็จะเดินลงเขา ทางเดินจากหน้าถ้ำก็มีก้อนหินกองทรายวางอยู่สลับกันไปมาน้ำค้างตกลงมามากมีหมอกหนาทึบ พอเดินก้าวไปบนเเผ่นหินเรียบๆมีทรายปะปนอยู่เหนือเเผ่นหินก็พอดีก้าวขึ้นบนเเผ่นหินก้อนสุดท้ายก็ลื่นล้มลงเเถลบเลยก้อนหินไปสู่ทราย อาตมาก็ล้มลงขาดสติไป ที่นี่เข้าสู่ตายเเล้วฟื้นเเล้วน่ะอย่าพึ่งหลับกัน
ณ บัดนั้นมีความรู้สึกว่าเหมือนอาตมากระเด็นลอยไปในอวกาศ อย่างนั้นเเหละจำได้ว่ามีรอยเท้าใหญ่ๆมหึมา มาเหยียบคุมเอาไว้มีลักษณะมืดเหมือนพระอาทิตย์โดนก้อนเมฆมาคลุมบังไว้อย่างนั้นเเหละเเต่มองเห็นเงาๆว่าที่มืดมากเป็นรอยเท้าเหมือนเท้าคนเเต่ใหญ่มากๆ มาทับอาตมาอย่างนั้นเเหละ ขณะนั้นรู้สึกว่าอึดอัดมากหายใจไม่สะดวกเหมือนอะไรมาทับหน้าอกของเราเเต่มองไปรอบๆเหมือนนิ้วเท้าใหญ่มาก มองเห็นว่าเป็นนิ้วหัวเเม่เท้า ทุกๆนิ้วมาเหยียบทับลง
ตอนนี้คิดว่าเราคงตายเเน่เเท้ สักพักหนึ่งก็มืดมิดไปหมดก็ขาดสติไปโดยไม่รู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร เเล้วเวลาจำไม่ได้ว่าเวลาขณะนั้นเวลาประมาณเท่าไร พอจำได้ว่าพักหนึ่งก็ได้ฟื้นสติว่าตัวเองไปอยู่ในที่มืดๆมีเเสงเหมือนดาวระยิบระยำ มองไปก็มืดเหมือนเดิมเเต่พอมองเห็นเป็นสลัวๆพอเดินย่องไปได้ มองไปข้างหน้าก็มีเเต่ดวงไฟมากมายหลายดวงมองไปข้างขวาก็มืด ข้างซ้ายก็มืด พอสักอึดใจเห็นจะได้ก็มีปรากฎให้เห็นอีกคือเหมือนตัวอะไร ทีเเรกไม่รู้ว่าตัวอะไรมันอยู่ข้างหน้าเเต่พอรู้ว่านุ่งผ้าโจงกระเบนสีเเดงยืนตัวสูงเหมือนเสาไฟฟ้าอาตมาเเหงนหน้าดูมันหน้าตาเขียวปั๊ดน่ากลัวมากเคี้ยวงอกฟันเหยินออกมานอกปาก ถือกระบองใหญ่กระบองสีขาว เหมือนเหล็ก มีเเสงสะท้อนเป็นประกาย
นอกจากนี้ยังพบว่ามีเจ้าตัวสูงใหญ่อีกตัวหนึ่งเเต่ตัวเล็กกว่าตัวเเรกนิดหน่อยโดยนุ่งโจงกระเบนสีเขียวสีเหมือนใบไม้เเก่ๆอย่างนั้นเเหละถือกระบองเเดงๆมีเเสงเหมือนกระจกโดนเเสงเเดดอย่างใดอย่างนั้นเเหละ เมื่อเเสงกระบองของมันมาโดนร่างกายของอาตมามีความรู้สึกว่าร้อนมองเห็นลำตัวเราสว่างไปหมดหันไปข้างหน้าอย่างเก่าก็เจอเจ้าตัวดำๆนุ่งโจงกระเบนสีเเดงอีกนั่นเเหละ ขณะนั้นอาตมายังรู้ตัวฟื้นสติตัวเองว่ายังนุ่งผ้าห่มจีวรเหมือนเดิมเหมือนช่วงที่ออกเดินบิณฑบาตตอนเช้านั่นเเหละเเละด้วยสายตาขณะนั้นเองก็มองตัวเราว่าตัวเรายังเป็นพระกำลังจะออกบิณฑบาตอย่างเดิมนั้นเอง
ทางที่เดิน ณ ขณะนั้นมีทางเป็นหินเป็นถนนกว้างประมาณวาเศษเห็นจะได้เเละก็รีบเดินหนีไอ้ตัวใหญ่นี้พอก้าวเท้าไปได้สักพัก 2-3 เก้าเห็นจะได้ก็ได้ยินเสียงเป็นเสียงมนุษย์ตะโกนออกมาเสียงสนั่นหวั่นไหว ณ บริเวณที่หยุดเดินอยู่นั้นดังก้องกังวานน่ากลัวเสียงดุๆว่า พระคุณเจ้าเดินตามข้าพเจ้ามาให้เร็วที่สุด พอหันข้างหลังมาก็เห็นเจ้าตัวดำๆนุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวอีกมันชี้มือให้อาตมาเดินตามตัวหน้าไปให้เร็วที่สุดขณะนั้นอาตมายังยืนงงตั้งฟื้นสติยังไม่ได้อยู่มันอะไรกันนี่พูดภาษามนุษย์เราก็ได้อาตมายอมเชื่อทำตามคำพูดของมันเดินไปข้างหน้าต่อไปจำไม่ได้ว่ากี่ก้าวเเละนานเท่าไร เดินไปก็เห็นภูเขาใหญ่ขวางหน้าเเต่เจ้าตัวนุ่งโจงกระเบนสีเเดงนั่นมันเอื้อมมือขวาไปเปิดอะไรก็ไม่รู้เพราะมองไม่ถนัดเพราะมันสูงมากโดยเจ้าตัวใหญ่นุ่งโจงกระเบนสีเเดงนั้นเปิดเเผ่นอะไรไม่รู้เสียงดังปิ้งๆปิ้งๆ
สักพักมันก็ส่งเสียงตะโกนเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ออกเเล้วยังตะโกนฟังไม่รู้เรื่อง ฝ่ายเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็ตะโกนถามอะไรไม่รู้กับเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเเดงพร้อมชี้มือ ชี้บุ้ยชี้ใบ้ยกขึ้นยกลง3หนเห็นจะได้ สักพักหนึ่งมันก็ยืนหน้าทมึ่งทึงจ้องมองต่ำลงมาหาอาตมาเเต่ที่เเปลกใจก็คือมันมองคราวนี้ไม่เห็นน่ากลัวก็เหลือเเต่เจ้าตัวดำๆนุ่งโจงกระเบนสีเขียวมันยกมือขวาชี้ไปข้างขวาเเล้วปากตะโกนออกมา 1 ครั้งว่า พระคุณเจ้าเดินไปข้างหน้านี้เถอะ เเล้วเงียบเสียงไป สักพักหนึ่งก็มีเเสงสว่างมีทางเดินด้านขวาเป็นทิวยาวเหมือนเดินกลางคืนมีไฟส่องไปตลอดในถนนเป็นลำพุ่งไปทางขาวยาวยืด ขณะนั้นอาตมาเดินตามคำสั่งของเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวเขาก็ค่อยๆก้าวเดินไปนำหน้าอาตมา อาตมาก็เดินตามเขาไปเเต่ฟื้นสติตัวเองตอนนั้นรู้สึกเราเหนื่อยมากเเต่อาตมาก็พยายามรีบเดินซอยเท้าตามให้ทันเขาเเต่ก็เดินไม่ทันเขาสักที สักพักหนึ่งเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็พูดภาษามนุษย์ว่า พระคุณเจ้าจงยืนอยู่เฉยๆเเล้วหลับตาลงน่ะเดี๋ยวจะกลับมาไม่ได้อย่าลืมตานะเจ้าข้าฯเดี๋ยวจะกลับมาไม่ได้ เขาพูดดังๆขึ้นสองครั้ง เเล้วเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็เงียบเสียงลง อาตมาก็หลับตาตามคำบอกของเขาเพราะความกลัวเเละความเหนื่อยที่เดินตามเขา ยืนหลับตาอยู่อย่างนั้นนานเท่าไรก็จำไม่ได้ มามีความรู้สึกอีกที เวียนหัวเหมือนจะเป็นลมอย่างเเรงเเล้วก็ล้มลงหลับไป ระหว่างนั้นได้ยินเสียงอะไรๆมากมายเสียงร้องน่าเวทนาบ้างก็มีเสียงตะโกนดังๆ ก็มีเสียงดังเหมือนโดนทุบโดนเเทงโทนเหวี่ยงจากที่สูง ลงมายังพื้นที่ยืนอยู่เสียงดังพลั่กดังตุบดังโครมดังตับหลายๆเสียงที่อยู่รอบตัวเราเเต่ลืมตามไม่ได้ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลับตาอยู่ รอให้เจ้าตัวดำๆนุ่งโจงกระเบนสีเขียวๆบอกให้เราลืมตาได้เรารู้สึกอยากลืมตาขึ้นมาดูเหมือนกันเเต่ก็หลับตาอยู่อย่างนั้นเเละก่อนที่จะเงียบเสียงทั้งหมดลงอาตมาก็ตัดสินใจลืมตาขึ้นมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นเเละพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นอะไรๆเยอะไปหมดเเต่ยังไม่สว่างมีเเต่สลัวๆเหมือนเดือนหงายมีร่างกายคนเดินเผ่นพล่านมากมาย เเต่ละคนหน้าซีด หน้าเซียวตัวผอมดูเเล้วขนหัวลุกเเต่ตัวก็เท่ากับคนสมัยใหม่นี่เเหละนับจำนวนไม่ได้ยืนหัวดำ หัวขาวกันมากมาย เด็กก็มี ผู้ใหญ่ก็มี พระก็มี ชีก็มี คนหัวโล้นก็มีมีหลายอย่าง อาตมาเพ่งมองอย่างตั้งใจดูไปรอบๆตัวเราบางทีก็เดินเข้าไปใกล้ๆก็ตะโกนถามเขาเขาก็ไม่ได้ยินตะโกนเสียงดังเท่าไหร่ๆก็ไม่มีใครสนใจเรา เหมือนกับเขาไม่เห็นอย่างนั้นเเหละเเต่เราเห็นเขา สักประเดี๋ยวก็เห็นคนที่เรารู้จักหลายๆคนจะถามเขาเหมือนกันว่าเราอยู่ที่ไหนกันพอเดินไปใกล้ๆเขาเขาก็ห่างออกไปเเล้วก็หายไปอาตมาเดินไปหาคนโน้นไปหาคนนี้เขาก็ไม่ได้ยินเขาก็ไม่รู้ ตะโกนบอกเสียงดังๆเขาก็ไม่รู้ อาตมาอุทานออกมาว่าเอะมันยังไงๆชอบกลสับสนอยู่งงไปหมดว่าขณะนั้นเรายืนอยู่ที่ไหนตะโกนถามคนนี้คนโน้นจนเหนื่อยหามีใครได้ยินไม่ สักประเดี๋ยวหนึ่งซึ่งก็ไม่ทราบว่าเวลาเท่าไหร่ก็มีเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวตัวเก่ามายืนตระหง่านเพ่งมองอาตมาอีกไม่รู้มันโผล่มาจากมุมไหนมายืนสูงจนต้องเเหงนคอมองดูสูงประมาณเสาไฟฟ้าข้างๆถนนเห็นจะได้ มันก็ตะโกนออกมาว่า ยังไม่ถึงเวลาตาย พร้อมกับอธิบายว่าเขาตามมาทุบตีเหยียบด้วยเท้าของมันพระคุณเจ้าองค์นี้จึงสลบด้วยอำนาจภูตผีเจ้ากรรมนายเวรชาติที่เเล้วมันสถิตอยู่ที่ภูเขาลูกนี้มา500ปีเเล้วจึงจะหมดบาปหมดกรรมที่สถิตอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ขณะนี้เจ้ากรรมนายเวรของท่านทำบาปทำกรรมเพิ่มอีกคือโกรธเอาเท้าเหยียบพระคุณเจ้าจนสลบไสลลงมาในนรกขณะนี้เเหละขอพระคุณเจ้าจงเดินตามข้าพเจ้ามา ณ บัดนี้เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา
พอได้ยินได้ฟังดังนี้เเล้วอาตมาก็รีบเดินตามโดยในใจก็อยากให้ไปจากตรงนี้โดยเร็วก็รีบเดินตามมาอย่างไวๆเเต่ก็เดินตามไม่ทันอยู่ดีทั้งที่เห็นว่าเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวเขาค่อยๆก้าวไปช้าๆเเต่เราเดินตั้ง10ก้าวเเล้วยังตามไม่ทัน ระหว่างเดินไปสองข้างทางก็เห็นมีเเสงสว่างเล็กน้อยพอมองเห็นคนได้บ้างบางตัวใหญ่ก็มี เล็กก็มี ผู้หญิงผู้ชายรวมกันเเต่หน้าซีดเซียวผอมๆไม่มีคนอ้วนเลยสักคนเดินไปมองไปสองฝั่งเห็นคนรู้จักก็มีนานๆจะเห็นสักคน คนที่เดินไปเดินมาข้างๆถนนที่อาตมาเดินสูงกว่าเขาประมาณ1เมตรเห็นจะได้ข้างล่างหญ้ารุกรุงรังเป็นป่าละเมาะคนก็เดินพลุ่กพล่านจำนวนมากเเต่อาตมารีบเดินเจ้าตัวดำๆนุ่งโจงกระเบนสีเขียวมองซ้ายมองขวางงไปหมด สุดท้ายเดินมาจนถึงภูเขาลูกหนึ่งขวางถนนสูงทมึนทึกสูงคำนวณไม่ถูกส่วนบนภูเขามีเเสงสว่างจ้าเหมือนกับพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาหลังภูเขาลูกนั้นเเต่ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์เเละไม่มีดวงไฟอะไรทั้งนั้นมองดูก็สว่างยาวยืดไปบนหลังเขาหมด สักประเดี๋ยวเดียวประมาณอึดใจเห็นจะได้ก็มีรูปร่างคนตัวดำใหญ่นั่งอยู่ครึ่งตัวเหมือนนั่งอยู่หลังเขาอย่างนั้นเเหละเสมือนหนึ่งภูเขาเปรียบเป็นโต๊ะนั่งเขียนหนังสือดังนั้นเเหละ
เเละมีเจ้าตัวใหญ่มีหมวกสีเเดงลายขาวคุมหัวอยู่ลูกตาวาวสีเขียวเท่าลูกเเตงโมใหญ่โตดูเเล้วเหมือนคนตาใหญ่นั่นเเหละนั่งตระหง่านเเล้วตะโกนขึ้นมาว่า พวกเจ้าจงนำพระคุณเจ้าองค์นี้กลับไปเดี๋ยวนี้เดี๋ยวจะไม่ทันการ เจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็ถาม เพราะเหตุไรจึงรีบกลับพระเจ้าข้าฯ เขาพูดภาษามนุษย์ที่เราได้ยิน เจ้าตัวใหญ่หมวกเเดงตาโตที่อยู่บนภูเขาก็บอกว่า บุญใหม่ของท่านสมณะองค์นี้มีมากเเละบุญเก่าเมื่อ2-3ชาติที่เเล้วมาช่วยอีกท่านจึงยังไม่ถึงเวลาตายเจ้าจงรีบนำกลับไปเวลามีอีก 3เที่ยวเท่านั้นจงรีบนำกลับไป ณ บัดนี้
เมื่อเจ้าหมวกเเดงที่นั่งอยู่บนภูเขาครึ่งตัวนั้นพูดจบเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็รีบหันกลับมาหาอาตมา อาตมาก็หันไปมองเขารู้สึกว่าในตาของเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวมีเเววตาไม่ดุไม่ร้ายรู้สึกว่าหน้าตาก็ไม่ได้ทมึงเหมือนเก่า เเล้วเสียงเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็พูดขึ้นว่า พระคุณเจ้าขอท่านจงรีบเดินตามข้าพเจ้าเถิด เจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็หันหลังกลับไปอย่างเดิม ภูเขาที่ขวางทางอยู่สักครู่นี้หายไปหมดเหลือเเต่บริเวณที่จะเดินไปโดยเป็นทางราบเรียบมีหญ้าขึ้นตามปกติหญ้าสูงประมาณคืบหนึ่งเห็นจะได้ ขึ้นเขียวเต็มพรืดไปหมดต้นไม้สวยงามมากเหมือนคนเอาไปปลูกเอาไว้เหมือนสนามกอล์ฟที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั่นเเหละสาธุชน ครานี้มองเห็นหมดเดินไปสักพักเดียวคำนวณเวลามิได้เจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวก็หยุดหันกลับมาบอกอาตมาว่า พระคุณเจ้ายืนหลับตาเเล้วจะเห็นทางกลับนะ อาตมาก็ยืนหลับตา ณ บัดนั้นมันก็ไม่บอกว่าให้ลืมตาเมื่อไรก็อึดอัดใจจริงๆ
สักพักหนึ่งก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็เห็นเเสงสว่างจ้าเหมือนกลางวันเเต่มองหาพระอาทิตย์ก็ไม่มีทำไมสว่างได้เเสงสว่างก็เย็นตาดีมองไปไกลๆก็เห็นเเต่สวนดอกไม้สวยๆทั้งที่มีกลิ่นประหลาดเหมือนมีคนปลูกต้นไม้ไว้ขายเป็นไร่เป็นล็อกๆตามสวนดอกไม้อย่างนั่นเเหละเเต่มองไม่เห็นน้ำเลยอากาศก็หายใจสบายมีความรู้สึกว่าสบายกายสบายใจบอกไม่ถูก อีกจิตหนึ่งหูก็ได้ยินเสียงเจ้าตัวดำนุ่งโจงกระเบนสีเขียวเขาบอกว่าให้รีบเดินให้เร็วที่สุดเดียวจะถึงเมืองมนุษย์อีกใจหนึ่งก็ติดใจในดอกไม้สวยๆหอมๆบอกไม่ถูกหอมเย็นอากาศก็ดีเเสงสว่างก็สว่างไม่ปวดตาเย็นสบายไปหมด เมืองมนุษย์สู้ไม่ได้เลยเย็นกายเย็นใจมีเเต่ความสุข เเต่ในที่สุดก็ต้องตัดใจออกเดินไปเรื่อยๆสักพักหนึ่งก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเเต่งกายสีขาวสะอาดผ้าบางๆ หน้าตาเหมือนกันหมดนานๆมีสักคนหนึ่งหน้าตาสวยสะอาดมีชฏาสวมใส่ไม่เหมือนคนอื่นมีผ้าสไบเฉียงสีทองพาดบ่าเป็นสไบเฉียงขวางตัวเเล้วยังมีกำไลเงิน กำไลทอง ผูกตามข้อมือ ต้นเเขนมีเพชรประดับมีเเสงเเวววาวประดับทั้งตัวเลยทีเดียว
อาตมารีบเดินไปถามเขาเหล่านั้นเขาเหล่านั้นก็หาฟังไม่พูดไปก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอาตมาก็ร้องตะโกนถามออกไปว่าท่านทั้งหลายทำอะไรอยู่ตะโกนอยู่บนถนนนั่นเเหละ ถามว่าคุณโยมทำอะไรกันอยู่อีกใจหนึ่งก็อยากจะถามว่าทางนี้ไปไหนเเละทางโน้นไปไหนทางขวาไปไหนอย่างนั้นเเต่อีกฝ่ายที่มีรูปร่างเป็นคนหน้าตาสวยทั้งนั้นไม่ได้สนใจอาตมาเลยพวกเขามีเเต่หัวเราะต่อกระซิบกัน
อาตมาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสถานที่นี้คงเป็นสวรรค์เเละพวกนี้ไม่ใช่ผีคงเป็นนางฟ้าเเน่นอนคงเป็นเทวาชั้นต้นเพราะมีต้นไม้สวนดอกไม้มากมายมองสุดหูสุดตาไม้เล็กไม้ใหญ่มีเเต่ดอกสวยงามเหมือนต้นตะเเบบหรือต้นหางนกยูง เเละต้นจานในภาคอีสานดังนั้นเเหละ เมื่ออาตมาถามคนโน้นคนนี้เขาก็ไม่พูดอีกนั่นเเหละหรือเขาพูดภาษาคนไม่ได้เขาจะพูดภาษาเทวดา ภาษานางฟ้าหรือ ภาษาสวรรค์คงจะเป็นเช่นนั้น
อาตมาก็รีบเดินต่อไปเดินอย่างหมดเเรงเลยทีเดียวเพราะกลัวจะกลับเมืองไม่ได้สักพักหนึ่งเห็นจะได้ประมาณเวลาไม่ถูกเดินมาก็ไกลมากโขหันหลังไปก็มีเเต่ถนนเรียบๆต้นไม้สวยงามเหมือนเดิมหันหน้ากลับต่อไป ทันใดนั้นจำได้ว่าฝั่งขวามือของอาตมาก็มีเทวดาเเน่นอนหน้าตาสวยงามเท่าๆกันนุ่งขาวห่มขาวสวยงามเเล้วก็เย็นตาด้วยมีผ้าสไบเฉียงสีน้ำเงินขาว มีเพชรพลอยประดับมากมายมีดอกไม้ผู้เป็นพวงมาลัยคล้องมือทั้งสองข้างดอกไม้ดูไม่ค่อยออกว่าเป็นดอกอะไรสวยงามมากๆ ขณะนั้นพวกเขากำลังเดินมากันเป็นหมู่ๆนับจำนวนไม่ได้เเละอาตมาจะต้องรีบเดินกลับยิ่งเดินยิ่งนานเดินไปอีกหน่อยก็พบคนสวยๆไม่ทราบว่ากี่คนฝั่งขวามีกลุ่มหนึ่งกำลังร่าเริงเด็ดดอกไม้อยู่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้หญิงฝั่งถนนด้านซ้ายก็มีผู้หญิงสวย หน้าตาเหมือนกันหมดมีผมมวยปักปิ่นสีทองวาวตาทุกๆคน
เป็นเรื่องที่ไปพบเทวดานางฟ้าโดยไม่รู้เรื่อง ขณะนั้นที่ยืนงงจะถามก็ไม่กล้าถามเพราะเสียเวลาก็รีบเดินต่อไปอีกนานเเละไกลสักเท่าไรก็ไม่ทราบก็มีเทวดาอีกองค์หนึ่งเดินอยู่บนถนนที่อาตมาเดินอยู่มองเห็นเเต่ไกลๆจนอาตมาเดินมาถึงใกล้ๆทั้งสองข้างถนนก็มีประชาชนหน้าตาเหมือนกันทั้งหญิงชายซ้ายขวาคุยกันจ้อไปหมดเเต่พูดไม่รู้เรื่องพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้เสียงกระหึ่มไปหมดทั้งฝั่ง ส่วนเทวดาองค์นั้นก็ยืนขวางทางอาตมาก็ตะโกนถามไปว่า คุณโยมท่านนี้ที่คุณโยมยืนขวางอยู่นี้ไปทางไหนขวามือไปทางไหน ซ้ายมือไปทางไหน ฝ่ายเทวดาผู้นั้นก็ยืนตอบเป็นภาษามนุษย์ว่า พระคุณเจ้าเดินไปทางนี้จะถึงที่เดิมเจ้าข้าฯ อาตมาก็ถามที่เดิมคืออะไร เป็นอย่างไร อยู่ตรงไหนเมืองมนุษย์หรือเมืองอะไร เทวดาท่านนี้ที่อยู่ข้างหน้าของอาตมาก็ตอบว่า อย่าช้าพระคุณเจ้าเดินตรงไปข้างหน้านั่นเเหละพระคุณเจ้าจะถึงเมืองมนุษย์ที่พระคุณเจ้าตายมาขณะนั้นนี่เเหละ อย่าชักช้านะพระคุณเจ้าเดี๋ยวจะสายเกินไปต่อการเป็นมนุษย์เจ้าข้าฯ พูดไปก็ชี้มือไปด้วย เทวดาก็บอกว่า พระคุณเจ้าจงรีบกลับนะ ยมทูตฝ่ายนรกได้มาฝากข้าพเจ้าจงรีบกลับไป ณ บัดนี้ อาตมาก็ได้ยินคำพูดนี้ก็สะดุด เเละรีบเดินตามเทวดาผู้นั้นไปเเต่ในที่สุดก็หายวับไปกับตา ไม่รู้ว่าหายไปไหน ทางไหน พอประเดี๋ยวเดียวก็มองเห็นหมู่บ้านยาวเป็นเเนวยาวยืด เเต่มีอะไรก็ไม่รู้ขวางหน้าอยู่ พอเดินไปใกล้ๆมีเเม่น้ำใหญ่พอประมาณเหมือนฝั่งเเม่น้ำโขงในประเทศไทย ดังนั้นเเหละ เเถวๆนครพนมนั้นเเหละ ขณะนั้นอาตมาก็เดินไปก็มีเเม่น้ำขวางกั้นอยู่อีกฝั่งที่เรายืนอยู่มีความรู้สึกว่ามันสูงมากจากที่ยืนอยู่จากที่ยืนไปถึงน้ำมองดูเเล้วสูงมาก ตลิ่งจากที่เรายืนไปประมาณ 200กว่าเมตรเห็นจะได้ก้มลงมองข้างล่างมีความรู้สึกว่ามีหญ้ารกมาก ไม่สามารถเดินผ่านไปได้เเน่นอน ก็มองดูเเล้วมันรกรุงรังเกะกะไปหมด ยังมีหญ้าหนามขึ้นอีกมากมายก็เดินลงไปคงจะโดนหนามตำเป็นเเน่ดีไม่ดีอาจถึงตายได้ ฉะนั้นอาตมาก็นึกถึงตอนเป็นทหารผ่าน การฝึกมามากมายก็นึกขึ้นได้ก็คิดว่ากระโดดลงไปเเบบม้วนตัวเป็นลูกมะพร้าวคงจะดีกว่าโดดลงไปในลักษณะอื่นๆเพราะมีสิทธิ์ที่จะตายได้ เเต่เมื่อดูเหตุการณ์ทั้งหลายเเล้วก็จำเป็นจักต้องทำตามความคิดเดิมคือโดดลงไปในน้ำเเล้วก็ว่ายไปถึงฝั่งมนุษย์เพราะมองเห็นเเต่ไกลโพ้น มีบ้านมีเมืองมีไฟสว่างไสวอยู่
ทันใดนั้นอาตมาก็ตัดสินใจโดดลงไปทันทีเพราะไม่มีทางเลือกเดินไปอีกก็เพราะว่าเจ้ายมทูตเขาบอกว่าให้รีบกลับ ส่วนเทวดาก็พามาถึงตรงนี้เเล้วตัวเทวดาก็หายไปเรารีบกลับเถิด พอฟื้นสติได้ใจได้ยินตูมก็ถึงเมืองมนุษย์ขณะนั้นอาตมาก็มีความรู้สึกตัวว่ามาถึงเมืองมนุษย์เเล้วละนะ ช่วงกระโดดจิตได้ยินเสียงตูมใหญ่ ตัวอาตมาก็มีความรู้สึกว่ามาอยู่ในเมืองอีกครั้ง ขณะนั้นมีความรู้สึก ก็อยู่ในที่อับๆหายใจสะดุดๆอย่างไรก็ไม่รู้อาตมาก็รวบรวมกำลังใจลุกขึ้น เเต่ลุกขึ้นไม่ได้เอามือคลำรอบๆที่นอนอยู่ก็เห็นมีกระดาษเเผ่นเรียบติดล้อมรอบอยู่ขณะนั้นอาตมาก็เอามือคลำรอบๆตัวก็มีความรู้สึกว่าอยู่ตัวเราตายเเล้วฟื้นอยู่ในโลงศพเเน่นอนเพราะลุกขึ้นไม่ได้เเละไม่มีเเสง ไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินเลย พอสักประเดี๋ยวไม่ทราบว่านานเท่าไร ก็ได้ยินเสียงพระสวดมนต์คือสวดอภิธรรม 7คัมภีร์เริ่มต้นไปจนถึงบทเหตุปัจชัยโยอะรัมมะปัจจัยโย อาตมาก็เคาะโลงที่นอนพร้อมเท้าถึบปลายโลงบางครั้งก็เอาเท้าถีบฝาโลงพร้อมเอามือทุบฝาโลงสัก 10 ครั้งเห็นจะได้ก็ได้ยินเสียงพระที่สวดพระธรรมขณะนั้นเงียบหายไป เเละบ่นอะไรไม่ทราบเจี๊ยวจ๊าวไปหมด ประเดี๋ยวก็หมดเสียงเเต่ได้ยินเสียงเจ้าเณรน้อยที่ธุดงค์มาด้วยจากสุพรรณบุรี ถึงสระบุรี พูดขึ้นว่า คุณโยมทุกๆคนมาช่วยหลวงพ่อหน่อย หลวงพ่อตายเเล้วฟื้น ท่านกำลังเคาะโลงอยู่ ให้ทุกคนทราบว่ายังไม่ตายหรือตายเเล้วฟื้นนั่นเอง
พอสักพักก็เงียบเสียงสามเณรไปประมาณสัก 30นาทีเห็นจะได้ ขณะนั้นอาตมาตะโกนออกว่า ช่วยงัดฝาโลงออกหน่อย ใครอยู่ข้างนอกอาตมาฟื้นเเล้วยังไม่ตายไอ้เณรเอ๋ย งัดฝาโลงที ช่วยเปิดฝาโลงให้หน่อยกูยังไม่ตาย เร็วๆหน่อยหายใจไม่สะดวก พอเคาะโลงเสียงดังสักพักหนึ่งก็มีเสียงสามเณรเเละชาวบ้านมาช่วยกันมากมายประมาณ30คนเห็นจะได้เอาค้อนเเละเหล็กชะเเลงมางัดฝาโลงให้ สักพักหนึ่งก็เปิดฝาโลงออกมาสว่างจ้าจะลุกก็ลุกลำบาก เพราะโลงมันเเคบ ก็ต้องตั้งฟื้นสติลุกขึ้นคนก็มาดูมากมายยืนรอบๆโลงมองกันเป็นตาเดียว ส่วนตัวอาตมาเองก็ยังเปียกน้ำที่ญาติโยมเขามารดน้ำศพพระ ตอนที่สลบตายไปนั้นเอง สบง จีวร ก็เปียกเหมือนกับตอนอาบน้ำอย่างนั้นเเหละ สักประเดี๋ยวเดียวก็รวมกำลังลุกขึ้นจากโลงได้อย่างทุลักทุเลญาติโยมเเต่ละคนก็งงงวยเงียบเสียงกันหมด สักพักหนึ่งอาตมาก็ขอดื่มน้ำกับสามเณร สามเณรก็ตักน้ำมา 1 กระบวย ลูกมะพร้าวตามบ้านนอกเขาเอากะลามะพร้าวมาทำเป็นที่ตักน้ำดื่ม พอมาถึงอาตมาก็รีบตักฉันท์ มีความรู้สึกว่าหิวคอเเห้งมาก ก็ตักฉันเข้าไป 10กระบวยกว่า น้ำเเทบหมดตุ่มเล็กที่เดียว พอฉันได้ประมาณ 20 นาที อาตมาก็พูดมีเสียงดังบ้างเเหบบ้าง พอญาติโยมถามอะไรมากมายก็ตอบได้มีเสียงเหมือนเดิม พูดก็ชัดขึ้นเพราะว่าร่างกายพอได้น้ำก็มีความสดชื่น หลอดเสียงก็มีน้ำชำระก็ทำให้หลอดเสียงชุ่มฉ่ำพูดจึงมีเสียงดัง คืนนั้นญาติโยมพร้อมพระที่วัดท่าสบกริมเเม่น้ำป่าสัก ก็มาสนทนากัน เยี่ยมเยียนกันมากมาย ทีเเรกที่ได้ยินเสียงเคาะโลงก็นึกว่าผีพระดุ ไม่คิดว่าตายเเล้วฟื้นมีอยู่จริง ก็เลยหยุดสวดอภิธรรม คัมภีร์ ลุกหนีกลับวัดกันไปหมด พอดีสามเณรไปเรียกญาติโยม เชิญผู้ใหญ่บ้าน เเละชาวบ้านเชิงเขาเเถวๆนั้นมานั่นเองมาเปิดฝาโลงให้อาตมาจึงลุกมานั่งคุยกับโยมได้ ดังขณะนี้เเหละ
คืนนั้นอาตมาอยากรู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นอย่างไรถึงได้มาเหยียบเราจนได้เกิดเหตุการณ์ให้เราตายเเล้วฟื้นไปจนเราต้องได้ไปดูเห็น นรก สวรรค์ คืนนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม พอญาติโยมกลับหมดเเล้วอาตมาได้นั่งกรรมฐานเริ่มตั้งเเต่ขั้นต้นเเละบทกรรมฐานสุดท้ายนับลมปราณบทที่7 นับลมปราณจนถึง 10000 ครั้งก็ได้ผล เวลาประมาณ 5 ทุ่มเกือบถึงเที่ยงคืนพอดีเกิดมีลมเเรงมาก ศาลาหลังเล็กที่ปลูกด้วยไม้ป่าเเละหลังคามุงด้วยหญ้าคา ลมพัดเเรงตีหลังคาเปิดหลายเเผ่น ทันใดนั้นเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วศาลาเเล้วเสียงก็เบาลงอาตมาได้เห็นเจ้าตัวดำนุ่งกางเกงลายสีเขียว สูงใหญ่ตาโตวาว ก็นั่งลงคุกเข่าเเต่ก็ยังสูงกว่าศาลาที่อาตมานั่งเสียอีก ขณะนั่นอาตมานั่งปฎิบัติธรรมอยู่หน้าประตูศาลาทางทิศตะวันตกพอดี เจ้าตัวดำนุ่งกางเกงสีเขียว นั่งพนมมืออยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า ขอพระคุณเจ้าอภัยให้ข้าพเจ้าด้วยที่ข้าพเจ้าทำลงไปด้วยความโกรธเเค้นโดยลืมไปว่าพระคุณเจ้าเเผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าเเล้วเเต่ก็ยังขาดสติข้าพเจ้าก็มีบุญจากพระคุณเจ้าเเผ่มาให้จึงเเสดงกายให้เห็นตัวได้เจ้าข้าฯขอให้พระคุณเจ้าอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าชื่อ ด.ช สามชัยตกุลมันฑิลาเเห่งเมืองมังละเมืองคลังที่บ้านเมืองเเตกมาเเล้วหนีข้ามสะพานเเม่น้ำสะโตงสมัยนั้นเป็นเมืองชายเเดนไทยกับพม่านั่นเอง พอข้าพเจ้าวิ่งหนีพวกพม่า พ่อ เเม่ พี่น้อง ของข้าพเจ้าก็วิ่งออกหน้าไปเเล้ว พอดีพระคุณเจ้าตอนนั้นบวชเป็นพราหมณ์นุ่งห่มขาวอยู่ ก็ได้วิ่งหนีพวกพม่าเหมือนกันพอดีข้าพเจ้าเป็นเด็กอยู่ วิ่งเเหวกเบียดจนพระคุณเจ้าเดินชนข้าพเจ้าตกลงจากสะพานทำให้ตัวข้าพเจ้าพลัดลงตกไปในเเม่น้ำตาย เมื่อ 3ชาติที่เเล้วตลอดจนมาถึงปัจจุบันนี้พระคุณเจ้าจึงบวชเป็นสมณะหรือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด วิบากกรรมเก่าก็ยังตามท่านมาได้พบกับข้าพเจ้า ณ ภูเขาลูกนี้เเหละพระเจ้าข้า เเละพระคุณเจ้าสร้างบารมีมาทุกๆชาติจึงบันดาลให้พระคุณเจ้าฟื้นกลับมาได้ เเละอีกประการหนึ่งพระคุณเจ้าก็ต้องสร้างวัดชดใช้กรรมเก่าโดยย้อนหลังไปเมื่อ3 ชาติที่เเล้วมาได้ไปยึดบ้าน ยึดเมือง ชาวรามัญเเละเผาบ้านเผาเมืองของเขาเอาไว้เเละในชาติ 3 ที่เเล้วพระคุณเจ้าเป็นทหารเอกของพระนเรศวรมหาราช รบเคียงบ่าเคียงไหล่ กับพระองค์มา พระคุณเจ้าจึงมีส่วนจักต้องชดใช้หนี้กรรมเก่าดังนี้เเหละเเละชาติปัจจุบัน พระคุณเจ้าก่อนมาบวชเป็นพระ ณ บัดนี้พระคุณเจ้าก็ยังมีกรรมใหม่ได้กระทำไว้เมื่อ 10 ปีของมนุษย์ได้เผาบ้านเมือง ของชาวญวนเรียกว่าสงครามเวียดนามนั้นเเหละพระคุณเจ้าต้องสร้างวัดชดใช้หนี้กรรมก็ต้องผจญมารอีกมากมายเเต่พระคุณเจ้าอดทนอดกลั้นได้เรียกว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ขอพระคุณเจ้าได้โปรดกรุณาเรียกข้าพเจ้าได้ทุกเวลาเถิดเจ้าข้าฯ อีก 5ปีของมนุษย์นั้นเเหละพระคุณเจ้าจะต้องสร้างสถานที่ให้คนทำบุญกุศลครั้งยิ่งใหญ่ สร้างวัด สร้างเมืองขึ้นในเขตดงพญาเย็นที่เป็นศูนย์ธรรมวิญญาณทั้งหลาย พวกเมืองคลังหรือชาวรามัญที่มาตายอยู่ ณ ที่กลางดงกลางเมืองโค หรือเมืองนครราชสีมาปัจจุบันนั้นเองพอเขาที่ชี่อ สามชัย ตกุลมันฑิลาเป็นลูกหลานพวกพระยามอญ ในชาติที่เเล้ว กล่าวเสร็จก็กราบ 3ครั้งเเล้วก็หายไปขณะนั้นเวลาประมาณ 02.00 พอดีอาตมาก็ตื่นภวังค์ขึ้น ณ บัดนั้นก็ตั้งใจลืมตาขึ้นเมื่อลืมตามาก็ลากรรมฐานเเล้วก็ลุกไปปลุกสามเณรตุ่น สามเณรก็รีบลุกทันทีพูดว่าครับหลวงพ่อ เธอลุกมานี่จะบอกอะไรให้ขณะนั้นเวลาประมาณ ตีสอง กว่า อาตมาก็ถามสามเณรว่า ตุ่นเอ๋ยหลวงพ่อตายเเล้วฟื้นไปกี่วันเธอจำได้มั้ย สามฌรก็พูดว่า ประมาณ 3วัน 4 คืน มาฟื้นวันที่ 4 พอดีครับหลวงพ่อตกเย็นวันที่ 4 พระมาสวดพระธรรมวันที่ 4 ก็โดนดีได้ยินเสียงหลวงพ่อเคาะโลงดังปังๆพระก็พากันลุกหนีไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ผมเองก็เเปลกใจอีกใจหนึ่งก็ดีใจเพราะว่าไม่น่าเชื่อว่าตายเเล้วฟื้นมีจริง พูดให้พระฟัง พระท่านก็ไม่ฟังว่าผมเพ้อเจ้ออีกครับ ได้ยินหลวงพ่อเคาะฝาโลงถี่ขึ้นด้วยผมเเน่ใจตัดสินใจไปตามญาติโยมเเถวๆรอบภูเขาลูกนี้เเหละ เเล้วขอร้องให้เขาเอาค้อนเอาเเชลงมางัดโลงด้วย ชาวบ้านจึงรวมกันมากมายอาจจะยังกลัวๆผีพระอยู่ก็ได้ จึงรวบรวมกันมางัดโลง ตามที่หลวงพ่อลุกขึ้นมานั่งนั่นเเหละครับ โดยสรุปคือว่าอาตมาตายเเล้วฟื้นไปไม่ได้สติ 3วัน 4คืน หรือเรียกอีกอย่างว่าตายเเล้วฟื้น ตายไปเเล้วฟื้น เเละฟื้นคืนชีพกลับมาได้เวลา 4 โมงเย็น พระสวดพระธรรม 7 คัมภีร์ พอท่านได้ยินเสียงอาตมาเคาะฝาโลงดัง ปัก ปัก ทุกท่านก็ลุกหนีกันไปหมด อาตมาก็เอ๋ยชมสามเณรตุ่นว่า เธอเก่งมากน่ะ หลวงพ่อขอบใจเธอมากๆ ถ้าไม่ได้เธอบอกชาวบ้านให้มางัดโลงให้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็ออกมาไม่ได้น่ะซินะ ก็อาจจะตายจริงๆอยู่ในโลงนี้ซิน่ะ ตุ่นเอยเธออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงตายไปอย่างที่เธอเห็นๆอยู่นี้ เเล้วยังฟื้นได้อีกน่ามหัศจรรย์ยิ่งนักน่ะตุ่นเอย เเล้วก็เล่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ให้สามเณรฟังจนจบ สามเณรตุ่นพูดว่า มันหวาดเสียวนะหลวงพ่อที่เจ้ากรรมนายเวรมันอยู่ตรงนี้อีกหรือเปล่าหลวงพ่อ อาตมาก็บอกว่า เจ้ากรรมนายเวรเขายังอยู่อีก 500 ปี มนุษย์จึงจุติไปผุดไปเกิด ก็เลยคุยให้สามเณรฟัง จนถึงตี 5 พอดี ก็เตรียมออกบิณฑบาตเหมือนเคย ญาติโยมก็มากันใหญ่ นำข้าวปลาอาหารมาถวายเเละสอบถามเรื่องราวที่ตายฟื้นมาไปไหนมาไหนบ้าง จำนวนร้อยๆคน จนตอบกันไม่หวาดไม่ไหว พอคนเขามาจำนวนมากๆก็บรรยายให้ฟังเสียทีหนึ่ง อยู่ได้ครบ 7 วันพอดีได้จตุปัจจัยเป็นเครื่องกัณฑ์เทศทั้งหมด 17000 บาทพอดีก็ฝากผู้ใหญ่บ้านไว้โอกาสหน้าจะมารับคืนเพื่อจะเอาปัจจัยจำนวนดังกล่าวไปทำบุญสร้างวัดต่อไป เมื่อครบ 7วันหลังจากตายฟื้นขึ้นมาก็ชักชวนสามเณรตุ่นเดินทางต่อไปเพื่อจะต้องเดินทางไปให้ถึงวัดหลวงปู่เเหวนให้จงได้ เพราะตั้งใจจะให้เดินให้ถึงในปีนี้ฝ่ายสามเณรก็เดินทางไปด้วยตลอดเวลา
มีต่อ ตายเเล้วฟื้น นรก สวรรค์ 2
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณาใช้คำสุภาพเเละไม่ใช้คำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเเก่ส่วนรวมเเละบุคคลอื่นขอบคุณครับ