บทวิจารณ์พระดวงชะตา จาก บทความเรื่อง บทวิจารณ์พระดวงชะตา
หนังสือ ภาพ-ประวัติ พระสมเด็จโต
พ.ต.ต. จำลอง มัลลิกะนาวิน
๑ มีนาคม ๒๕๑๗
โดย นาวาตรี สันต์ ศุภศรี
๙ เมษายน ๒๕๑๖
หน้า ๑๐๑-๑๑๓
บทวิจารณ์ดวงพระชะตา
ดวงพระชะตาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
เมื่อวันอาทิตย์ ๑ เมษายน ๒๕๑๖ พันตำรวจตรีจำลอง มัลลิกะนาวิน นายตำรวจชื่อดังในวงการพระเครื่อง ได้ขอให้ข้าพเจ้าเขียนบทวิจารณ์ดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี เพื่อจะนำลงในหนังสือภาพประวัติพระเครื่องสมเด็จโต ข้าพเจ้ารับที่จะช่วยเหลือด้วยความเต็มใจยิ่ง เพราะเห็นว่าบรรดาท่านนักเลงพระเครื่องทั้งหลายที่มีพระเครื่องบูชาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้บูชาแล้วก็ดี หรือท่านที่กำลังแสวงหาพระเครื่องบูชาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ยังหาไม่ได้เหมาะใจก็ดี ตลอดจนท่านที่มีความศรัทธาแก่กล้าสนใจศึกษาผลงานและชีวประวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่สนใจศึกษาวิชาด้านโหราศาสตร์มาในระบบหรือในระดับใดก็ตาม ควรจะมีดวงพระชะตาที่ถูกตองของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้ศึกษาและบูชาเป็นสิริมงคล
เหตุที่ข้าพเจ้าช่วยจัดการทำบทวิจารณ์ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้นี้ก็เพราะมีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือสติปัญญาของตัวเองเลย เพียงแต่เขียนคำแนะนำและแสดงความคิดเห็นส่วนตัวประกอบบ้างเล็กน้อย ก็ทำให้ท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ของท่านพันตำรวจตรีจำลองฯ ได้รับความรู้เกี่ยวกับผลงานและชีวประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่สนใจศึกษาวิชาด้านโหราศาสตร์มาในระบบหรือระดับใดก็ตาม ควรจะมีดวงพระชะตาที่ถูกต้องของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในทัศนะของนักโหราศาสตร์ได้ดีพอสมควร บทวิจารณ์ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่ว่ามีอยู่แล้วนี้คือ บทความของอาจารย์ “พลูหลวง” ในหนังสือโหราศาสตร์สมัยใหม่ โดย พลูหลวงภายใต้หัวข้อเรื่อง “อันเนื่องมาจากดวงสมเด็จเจ้าพระยา”
หนังสือโหราศาสตร์สมัยใหม่ดังกล่าวนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งผู้พิมพ์และผู้เขียนสงวนสิทธิ์ แต่มีข้อยกเว้นในกรณีนำไปวิจารณ์หรือเพื่อการศึกษาเป็นการส่วนตัว ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์พลูหลวงแล้ว เห็นว่าสมควรจะนำออกเผยแพร่ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งกล่าวถึงผลงานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นส่วนใหญ่ โดยมีทัศนคติว่าเมื่อท่านนักเลงพระได้รู้จักเนื้อและชิ้นส่วนของผลงานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นอย่างดีแล้ว ก็ควรจะรู้จักและอ่านดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่ถูกต้องได้อย่างละเอียดลึกซึ้งพอสมควรเท่าที่ท่านอาจารย์พลูหลวงได้บรรยายวิจารณ์ไว้แล้วนี้
สาเหตุสำคัญที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะนำบทวิจารณ์เกี่ยวกับดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาลงไว้ในหนังสือเล่มนี้ก็เพราะ ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญและและทนอึดอัดใจมานานแล้วที่เห็นดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่เขียนหรือพิมพ์กันในยุคนี้วางลัคนาของท่านไว้ที่ราศีเมษ แทนที่จะเป็นราศีพฤษภที่ข้าพเจ้าได้เคยพบเห็นจากศิลาจารึกเก่า ๆ บางแห่ง หลักฐานแสดงเวลาเกิดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ไม่ค่อยแน่นอน ได้ทราบกันแต่เพียงว่าท่านเกิดที่บ้านตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลาพระบิณฑบาต เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก จ.ศ. ๑๑๕๐ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ สมผุสอาทิตย์ประมาณ ๗ องศาเศษ จะเห็นว่าเวลาเกิดของท่านตอนพระบิณฑบาตนี้ถ้าเช้าสักหน่อยไม่เกิน ๐๗.๓๐ น. ลัคนาก็ยังอยู่ในราศีเมษ แต่ถ้าท่านเกิดสายกว่านี้คือเลยเวลา ๐๗.๓๐ น. ลัคนาก็จะเลื่อนเข้าราศีพฤษภ และถ้าจะวางลัคนาที่ราศีพฤษภมีดาวศุกร์กุมลัคนาราหูเล็งลัคนา และอาทิตย์ศรีมาหาอุจเป็นวินาศนะ คงจะอ่านดวงนี้ว่าเสียหายร้ายแรง จึงเลยช่วยกันย้ายลัคนาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาไว้เสียที่ราศีเมษ มีอาทิตย์เป็นศรีมหาอุจกุมลัคนาวิเศษไปเลย ดาวศุกร์เป็นเกษตรนำหน้า พฤหัสบดีโยคหน้า จันทร์ตรีโกณร่วมธาตุ ราหูดาวร้ายเข้ามรณะ ดวงแบบนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าวิเศษจริง ๆ แต่ต้องไม่ใช่ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ อย่างแน่นอน รายละเอียดปรากฎอยู่ในบทวิจารณ์ของอาจารย์ “พลูหลวง” โดยตลอดแล้วได้คัดมาดังนี้
เท่าที่ผมได้ผ่านสายตามา เกี่ยวกับดวงชะตาบุคคลสำคัญของไทยในอดีตสมัยนั้น มีอยู่ดวงหนึ่งคือ ดวงชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นับว่าเป็นดวงชะตาที่น่าสนใจเป็นพิเศษอาจกล่าวได้ว่า บรรดานักโหราศาสตร์แทบทุกท่านต่างก็มีดวงชะตาวิเศษดวงนี้อยู่ในปูมสถิติส่วนตัวด้วยกันทุกคน โดยยึดถือไว้เป็นแบบฉบับในการศึกษา นับเป็นเวลาสิบ ๆ ปีมาแล้ว
ประวัติดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น มีอยู่ในหนังสือของพระยาทิพโกษาซึ่งมีกล่าวไว้ว่า ดวงชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั้น สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ทรงคำนวณถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ด้วยมีพระราชประสงค์จะทรงทราบว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไปจะมีดวงชะตาเป็นอย่างไร แล้วพระราชทานไปยังสมเด็จฯ กรมพระยาเทววงศ์วโรการ และได้ประทานให้พระยาทิพโกษาลอกคัดเก็บรักษาไว้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ดวงชะตาที่คำนวณไว้นี้ ลัคนาจะอยู่ในราศีใดหามีผู้ทราบไม่ เท่าที่ค้นพบในหอสมุดแห่งชาติปรากฎว่าลัคนาอยู่ในราศีเมษกุมดาวอาทิตย์ศรีกำเนิดมหาอุจจ์ แต่พบในที่อื่น ๆ นั้น ลัคนาอยู่ราศีพฤษภแทบทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องน่าฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาเกิดของท่านนั้นทราบแต่เพียงว่าเกิดที่บ้านตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลาพระบิณฑบาต ซึ่งเวลาเกิดคลุมเครือนี้ก็น่าจะวางลัคนาได้สองราศี คือ ไม่อยู่ราศีเมษก็อยู่ราศีพฤษภ ผมเองก็ปักใจว่าลัคนาอยู่ราศีพฤษภ เพราะดูตรงกับชีวประวัติของเจ้าประคุณซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายกันดีอยู่แล้ว เนื่องจากยังหาดวงชะตาลักษณะเดียวกันมาพิสูจน์ไม่ได้จึงเงียบเฉยอยู่
จนกระทั่งได้มาอ่านบทความของคุณสิทธิไกร เรื่อง “ดวงสมเด็จเจ้าพระยา” ซึ่งดุจดังความสว่างที่แลบเข้าไปในความมืด ทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ทะลุปรุโปร่งไปหมด จึงทำให้ผมต้องนำดวงชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาศึกษาอีกครั้งหนึ่ง โดยเทียบเคียงกับดวงชะตาสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ควบคู่กันไป ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านโหราจารย์บางท่านซึ่งยึดถือว่าลัคนาอยู่ราศีเมษ เพราะด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมมิได้มีความประสงค์จะคัดง้างท่านผู้ใด หากแต่วิทยาการโหราศาสตร์นั้นมีทางให้มองไปได้หลายแง่หลายมุม ผมใคร่ขอเสนอความคิดเห็นอีกทัศนะหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางให้คิดกว้างขวางยิ่งขึ้น หวังว่าคงได้รับการอภัยจากท่านผู้รู้ด้วย
เมื่อได้เทียบดวงชะตาทั้งสองดู ก็เห็นว่ามีดวงดาวอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน จะผิดที่ตรงจันทร์ห่างกันเพียง ๒ ราศีเท่านั้น ทั้งนี้ก็ด้วยท่านทั้งสองเป็นสหชาติ โดยเกิดเดือนเดียวปีเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่มีชันษาแก่กว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ พระพุฒาจารย์ (โต) เพียง ๕ วันเท่านั้น ดาวบนฟ้าจึงอยู่ในรูปเดียวกัน คือ เรียงรายอยู่ติดต่อกัน ๖ ราศี เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ซึ่งเรียกกันว่า จันทรตรีบ้าง มาลัยโยคบ้าง อรรฒจักรบ้าง ซึ่งก็เป็นลักษณะเช่นเดียวกัน
สำหรับอานุภาพกลุ่มดาวแบบพระจันทร์ครึ่งซีก ซึ่งเมื่อได้ร้อยกรองด้วยดาวเด่น ๆ แล้ว จะทรงซึ่งบุญญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ยิ่งนัก ผมเคยเสนอมาให้ทราบครั้งหนึ่งแล้ว ในสมัยโบราณก็คงจะยึดถือดาวลักษณะดังกล่าวนี้ว่าเป็นเลิศเช่นกัน มีข้อพิสูจน์ก็คือ ให้สังเกตดูดวงชะตากรุงศรีอยุธยา ซึ่งพราหมณ์โหราจารย์โบราณได้วางดวงชะตาฤกษ์สร้างเมือง ในขณะที่ดาวโคจรเรียงรายเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีกคือเรียงติดต่อกันถึง ๖ ราศี นี่ก็แสดงให้เห็นว่าโหรโบราณท่านเห็นประจักษ์ความดีเด่นของดาวลักษณะนี้มานานแล้ว และตัวอย่างที่ประจักษ์ชัดว่าดวงชะตาแบบนี้มีอิทธิฤทธิ์เป็นเลิศนั้น ขอให้ศึกษาดูจากดวงชะตาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งทรงกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยเป็นผลสำเร็จก็เพราะดวงชะตาของพระองค์ท่านมีดวงดาวเรียงรายเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ทั้งพระลัคนาก็กุมจันทร์มหาอุจจ์ซึ่งเป็นดาวที่เด่นที่สุดในกลุ่มดาวเหล่านั้น มีลักษณะเหมือนกับดวงชะตากรุงศรีอยุธยาไม่ผิดเพี้ยน แม้ดวงชะตาของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ และบุตรชายของท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งได้เป็นอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจเต็มว่าที่สมุหกลาโหมด้วยกันทั้งคู่ และได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเช่นเดียวกัน นับว่ามีบุญบารมีอย่างสูง ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยในดวงชะตามีกลุ่มดาวพระจันทร์ครึ่งซีกสนับสนุนอยู่
เกี่ยวกับดวงชะตาที่คล้ายคลึงกัน คือ ดวงชะตาของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่กับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เช่นนี้ เป็นแบบอย่างการศึกษาอันดีเลิศที่จะพิสูจน์ความแน่นอนของดวงชะตา เพราะทั้งสองท่านต่างก็มีอุปนิสัยไปในทางตรงกันข้าม ไม่มีทางคล้ายคลึงกันเลย หากลัคนาอยู่ราศีเดียวกัน อุปนิสัยใจคอก็ย่อมจะคล้ายคลึงกัน แต่จากชีวประวัติแตกต่างกันราวกับขาวและดำ จึงเห็นได้ว่า ต้องอยู่กันคนละราศีแน่ ๆ ดังจะแยกแยะให้เห็นดังนี้
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่โปรดยศศักดิ์ แม้เรียนรู้พระปริยัติธรรมก็ไม่เข้าแปลเปรียญและไม่รับฐานานุกรม ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะครั้งใด ท่านก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธเสีย และมักหลบไปพักแรมต่างจังหวัดเนือง ๆ ท่านพึ่งจะมายอมรับสมณศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี่เอง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงมีพระราชดำรัสถามว่า “เมื่อรัชกาลก่อนทำไมท่านจึงไม่ยอมรับยศศักดิ์ ทีนี้ทำไมจึงยอมรับไม่หนีอีก” สมเด็จฯ ถวายพระพรว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๓ ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้าเป็นแต่เจ้าแผ่นดินเท่านั้น ท่านจึงหนีได้ ส่วนมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าเป็นทั้ง เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านจะหนีไปไหนพ้น คำตอบอันนี้ทำเอาทรงพระสรวลออกมาได้
ความไม่ถือตนของเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั้นมีเรื่องเล่ามาก เช่นเล่ากันว่า คราวหนึ่งท่านถูกนิมนต์ไปเทศน์ เรือติดโคลนในคลอง ท่านก็ลงไปเข็นเรือเอง บางครั้งท่านไปธุระ ท่านเห็นศิษย์แจวเรือระยะทางไกลเหนื่อยมาก ก็ให้นั่งเสีย แล้วท่านไปแจวเอง คราวหนึ่งพระในวัดระฆังกำลังสวดตลกคะนอง ท่านจึงแวะเข้าไปนั่งยอง ๆ ประนมมือกล่าวว่า “สาธุ ๆๆ” แล้วลุกขึ้นเดินหลีกไป อีกคราวหนึ่งพระในวัดระฆังสององค์เกิดทุ่มเถียงกัน องค์หนึ่งว่า “พ่อไม่กลัว” อีกองค์หนึ่งว่า “พ่อก็ไม่กลัว” การเถียงชักรุนแรงขึ้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ยินเข้า จึงเอาดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปหาพระที่ทุ่มเถียงกันนั้น นั่งประนมมือพูดว่า “พ่อเจ้าประคุณฉันขอฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเก่งนัก นึกว่าเอ็นดูต่อฉันเถิดพ่อคุณ” พระทั้งสององค์ได้ฟังดังนั้นก็เลิกทะเลาะกลับกุฏิ ดังได้พรรณาถึงความไม่ถือตัวของเจ้าประคุณสมเด็จฯ นี้ บางทีท่านอาจจะเฉลียวใจได้คิดว่า ลักษณะนี้ไม่ใช่คนอาทิตย์มหาอุจจ์กุมลัคนาแน่ ๆ ควรที่พระอาทิตย์มหาอุจจ์นั้นเลื่อนเข้าสถิตย์อยู่ในภพวินาศนะต่อลัคนา นั่นแหละจึงจะเข้าลักษณะอุปนิสัยอันนี้
ส่วนสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่นั้น ในประวัติศาสตร์กล่าวว่า โปรดในยศศักดิ์ยิ่งนัก สมกับที่เป็นอัครมหาเสนาบดี ท่านชอบในสิ่งหรูหราใหญ่โต เช่น เมื่อคราวไทยมีเรื่องรบติดพันกับญวณ โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ซึ่งมียศเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เป็นแม่กองไปสร้างเมืองที่จันทบุรี ท่านไปเลือกชัยภูมิสร้างเมืองใหม่ที่เนินวัง เมืองที่สร้างใหม่นี้ต้องสร้างบนเนินสูงเด่น กำแพงก่อสร้างด้วยศิลาและสร้างเสียสง่าใหญ่โตมโหฬาร ไม่คำนึงถึงว่าผู้คนจะอาศัยอยู่แล้ว ทำมาหากินจะสะดวกหรือไม่ ท่านชอบของท่านอย่างนั้น ชอบให้เด่น ให้มองเห็นตระหง่านได้แต่ไกล สมกับอำมาตย์ราชศักดิ์ อัครมหาเสนาบดีที่ไปบัญชาการสร้างเมืองนั้น คราวที่พระเจ้าอัครมหาเสนา (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาพระคลังให้เป็นที่สมุหกลาโหมแทน ท่านไม่ยอม เพราะตำแหน่งนี้ไม่เด่นจริง ทั้งไม่ยั่งยืนมั่นคง ขอให้แต่งตั้งคนอื่นแทน จนต้องทรงขอร้องเพราะไม่เห็นว่าผู้ใดจะเหมาะสมพอ จึงต้องรับไว้ การที่กล้าเพ็ดทูลอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็เข้าลักษณะดาวพุธเป็นวินาศนะ และมีอาทิตย์กุมลัคน์ซึ่งเห็นได้ชัดอยู่แล้ว ดวงอาทิตย์ในดวงสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่เป็นเจ้าเรือนปุตตะ เป็นมหาอุจจ์กุมลัคน์ก็สมกับประวัติว่าบุตรคนโตของท่านจะได้มามีตำแหน่งมีอำนาจราชศักดิ์เช่นเดียวกับบิดา ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะต่อมาบุตรคนโตของท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ก็ได้เป็นที่พระสมุทรพระกลาโหมมียศศักดิ์เท่ากับบิดา และได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ตรงกันข้ามกับเจ้าประคุณสมเด็จสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งท่านไม่มีบุตร เพราะบวชมาตั้งแต่เป็นเณร เมื่อลัคนาอยู่ราศีพฤษภ ดาวพุธเจ้าเรือนปุตตะไปเป็นนิจจ์ ดาวพุธนี้เป็นดาวแห่งการเจรจา เมื่อมาอยู่เรือนลาภะต่อลัคนา จึงทำให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ชอบพูดถ้อยคำไพเราะ ระรื่นหูคน และก็ออกจะแผลง ๆ เพราะเป็นนิจจ์ เช่น ท่านไปพบสุนัขนอนขวางทางอยู่ ท่านพูดกับสุนัขนั้นว่า “โยมจ๋า ขอฉันไปทีเถอะจ้ะ” แล้วก็ก้มกายหลีกทางไป มีผู้ถามท่านว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ท่านตอบว่า “ฉันไม่รู้ได้ว่าสุนัขนี้จะเคยเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่”
ลัคนาอยู่ราศีพฤษภ ดาวอาทิตย์มหาอุจจ์ก็จะแปรสภาเป็นดาววินาศนะ ซึ่งก็สอดคล้องกับประวัติเร้นลับของท่าน กล่าวกันว่า ท่านเป็นโอรสลับ ๆ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดาวอาทิตย์หมายถึงบิดา ภพที่ ๑๒ หมายถึงความเร้นลับ สิ่งที่ไม่เปิดเผยสภาพของอาทิตย์เป็นศรีมหาอุจจ์ ย่อมส่อถึงชาติตระกูลของบิดาได้ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่อาจเปิดเผยได้ ท่านจึงอยู่ในฐานะกำพร้าบิดาตั้งแต่เกิดมา ข้อยืนยันนี้มีปรากฎในจดหมายเหตุบัญชีน้ำฝนของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ว่า “วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ (ต้น) ปีวอก จ.ศ. ๑๒๓๔ เวลา ๒ ยาม สมเด็จพุฒาจารย์ถึงชีพิตักษัย” คำว่าชีพิตักษัย ส่อว่าตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ เมื่อยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โปรดปรานมาก ทรงรับสั่งไว้ในราชูปถัมภ์และพระราชทานเรือกันยาหลังคากระแชงให้ท่านขี่ไปเทศน์และไปในกิจอื่น ๆ อันเรือกันยาหลังคากระแชงนี้ เป็นเรือประจำยศเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า และเมื่อายุครบอุปสมบทเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บวชเป็นนาคหลวง ที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นี่ก็พอจะมองเห็นความเร้นลับในประวัติส่วนตัวของท่านซึ่งเกี่ยวกันกับพระราชวงศ์อย่างลับ ๆ และก็เป็นที่เปิดเผยโดยพฤตินัยอันเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาถึงดาวพระเสาร์ เจ้าเรือนภพที่ ๙ ซึ่งหมายถึงบิดา ดาวเสาร์เป็นกาลกรรณีกุมเกตุโดยสนิทองศา (จากสมผุสซึ่ง คุณประทีป อัครา ได้กรุณาคำนวณไว้) ลักษณะแบบนี้แสดงว่าดาวเสาร์ดับอิทธิพลลงโดยสิ้นเชิง ดังที่ผมเคยให้ข้อสังเกตในเรื่องดาวพระเกตุมาแล้วนั้น ก็พอจะพยากรณ์ออกมาได้ว่า เรื่องบิดาของท่านเป็นเรื่องเร้นลับ ไม่เป็นที่เปิดเผย หากแต่เสาร์นั้นไปอยู่ในฐานะเป็นองค์เกณฑ์ให้คุณแก่ดวงชะตา ท่านจึงได้รับอุปการะจากบิดาอยู่ตลอดมา
หันมาพิจารณาถึงดาวศุกร์ เกษตรกุมลัคน์ ดาวศุกร์นี้หนุนเนื่องให้ดวงชะตาดีเด่นได้เกณฑ์ปัญจมหาบุรุษโยค ตามตำราไตรศตโชคมัญชริ ทั้งยังเข้มแข็งเช่นเดียวกับมหาอุจจ์เพราะเกาะวรโคตมนวางค์จึงเป็นศุกร์ที่ดีเด่นจริง ๆ ศุกร์ในราศีพฤษภนี้ถือว่าเป็นศุกร์ขุนคลัง หรือศุกร์แห่งศิลปวิทยาการ มิใช่ศุกร์เจ้าแห่งกิเลศราคะอย่างศุกร์ในราศีตุลย์ (โดยพิจารณาจากภพ มีราศีเมษเป็นลัคนาโลก) อีกประการหนึ่ง มีดาวพฤหัสบดีนำหน้าศุกร์ในตำแหน่งศูนย์พาหะต่อลัคนา ทั้งยังมีดาวอาทิตย์มหาอุจจ์ศรีขนาบหลังอยู่เช่นนี้ จึงทำให้ศุกร์ที่ใฝ่แสวงหาแต่คุณธรรมความดีอย่างแท้จริง
การดูดวงชะตาของพระสงฆ์ ซึ่งบวชตั้งแต่เป็นสามเณรแล้วก็อุปสมบทเป็นพระดำรงสมณเพศตลอดชีพนั้นดูง่ายมาก ท่านให้ดูภพปัตนิและปุตตะจะเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งกว่าอย่างอื่น ด้วยภพทั้งสองดังกล่าวนี้ หรือเจ้าเรือนของภพทั้งสองจะต้องเสียหายถูกเบียดเบียนอย่างหนัก จึงจะดำรงเพศบรรพชิตอยู่ได้ตลอด ก็เมื่อลัคนาอยู่ราศีเมษ นั้นจะไปบวชอยู่จนแก่เฒ่าได้อย่างไร เพราะปุตตะก็เป็นมหาอุจจ์และเป็นศรีกุมลัคนา อีกทั้งปัตนิก็เป็นเกษตรนำหน้าอยู่เช่นนี้คงจะร้อนผ้าเหลือง สึกออกไปรับราชการเป็นพระยาเจ้าพระยานาหมื่นไปนานแล้ว ดูแต่สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งเจริญด้วยยศศักดิ์ในราชการและมีหม่อมนับไม่ถ้วน มีบุตรและธิดาสืบสกุลถึง ๔๔ คน นับว่าสมคล้ายกับดวงชะตาบ่งระบุไว้เช่นนั้นจริง ๆ
แต่เมื่อลัคนาอยู่ราศีพฤษภจะเห็นได้ว่า ราหูบาปเคราะห์ตัวเบียนบ่อนสำคัญไปครองอยู่ยังภพปัตนิ อีกทั้งดาวปัตนิ คือ อังคารเป็นนิจจ์กุมดาวมฤตยูเจ้าแห่งความอาเพศอีกด้วย นี่ก็พยากรณ์ออกมาตรง ๆ ได้เลยว่า ท่านไม่ข้องแวะกับเพศตรงข้ามเอาทีเดียว พิจารณาดวงที่ไม่ต้องการแผ่พืชพันธุ์อีกต่อไป เพราะเนื่องด้วยพิจารณาในแง่นี้แหละ ทำให้ผมยึดมั่นว่าลัคนาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ต้องอยู่ราศีพฤษภแน่นอนตลอดมา
ดาวศุกร์ที่กุมลัคนาอยู่นั้น กลับทำให้ท่านเป็นคนครึกครื้นมองเห็นโลกในแง่ดีและมีอารมณ์ขันเกิดขึ้นเสมอ ท่านสามารถเทศน์ให้คนฮากันตึงอยู่บ่อย ๆ นับว่ามีวาทศิลป์อย่างดีเลิศ ครั้งหนึ่งมีการเทศน์ปุจฉาวิสัชนาในพระบรมมหาราชวัง โปรดให้อาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดระฆังกับพระธรรมอุดม วัดพระเชตุพน เป็นผู้แสดงธรรม ทรงติดเทียนประจำกัณฑ์เทศน์เป็นเงินสลึงเฟื้อง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ชวนเทศน์ออกนอกเรื่อง ถามเจ้าคุณธรรมอุดมว่า “ท่านทราบไหมว่า ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเราทั้งสองสลึงเฟื้องนั้นอย่างไร” เจ้าคุณธรรมอุดม ตอบว่า “ไม่ทราบ” สมเด็จ จึงว่า “อ้าวท่านหัวล้าน ข้าพเจ้าหัวเหลือง ก็หัวละเฟื้องสองไพ ๒ หัวก็เป็นสลึงเฟื้องนะซิ” ผู้ฟังต่างหัวเราะกันฮาใหญ่แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงกลั้นพระสรวลมิได้ แล้วพระราชทานเงินติดเทียนถวายอีก
ดาวอาทิตย์เจ้าเรือนภพที่ ๔ เป็นวินาศน์ ทำให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นคนไม่มีบ้าน ท่านต้องเร่ร่อนคเนจรมากับมารดาตลอดมา ท่านเกิดที่อยุธยา ต่อมามารดาของท่านพาไปพักอยู่บ้านตำบลไชโย ที่อ่างทอง พอท่านสอนนั่งก็พาท่านมาอยู่ ณ ตำบลบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร ต่อมาท่านได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นอนุสรณ์ที่ตำบลนั้น แม้สมัยเมื่อท่านเป็นสมภารวัดระฆังแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ติดที่ ไม่มีเวลาว่าง เนื่องจากไปในกิจนิมนต์บ้าง ไปดูแลควบคุมการก่อสร้างต่างจังหวัดบ้าง หรือบางทีก็ไปธุดงค์เนือง ๆ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมอบการวัดให้พระครูปลัดปกครองดูแลแทน และท่านกำชับกำชาพระในวัดว่า ถ้ามีกิจไปนอกวัดให้บอกลาพระครูปลัดก่อน แม้ตัวท่านจะไปไหนก็บอกลาพระครูปลัดเหมือนกัน ครั้งหนึ่งท่านไม่ทันในงานพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ดำรัสถาม ท่านถวายพระพรว่า เพราะต้องคอยลาพระครูปลัดซึ่งจำวัดยังไม่ตื่น ก็เลยช้าไป
ดาวศุกร์ที่กุมลัคนาอยู่นั้น ทำให้สมเด็จฯ มีอุปนิสัยทางศิลปและรักการก่อสร้าง ท่านได้สร้างถาวรวัตถุไว้หลายแห่ง สร้างพระและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามไว้มากมาย จัดเป็นงานใหญ่แทบทุกวัด แม้เมื่อชราภาพมากแล้ว ท่านไปสร้างวัดวาอารามไกล ๆ ไม่ไหว ท่านก็จะสร้างพระเครื่องไว้มากมายหลายรุ่น และปลุกเสกด้วย พระอาคมขลัง ซึ่งกิตติคุณ “พระสมเด็จฯ” นั้น เป็นที่ทราบร่ำลือกันดีอยู่แล้ว อังคารซึ่งโยคหน้าลัคนาอยู่นั้น ทำให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ กล้าพูด กล้าทำ โดยไม่เกรงกลัวผู้ใด ดาวพฤหัสนำหน้าลัคนาก็เข้าตำราว่าจะเป็นนักปราชญ์สนใจทางธรรม มีอุปนิสัยรักความยุติธรรมดียิ่ง ดาวที่อยู่ในภพเกณฑ์จากจันทร์ มีเสาร์กาลกรรณี (แต่กุมเกตุซึ่งดับพิษร้ายของกาลกรรณีเสียแล้ว) เป็นองค์เกณฑ์อยู่ในภพที่ ๑๐ ทำให้ดาวเสาร์เกษตรดีเด่นขึ้นมาอีก ทั้งเสาร์และศุกร์ที่เด่นนี้เป็นเกณฑ์ปัญจมหาบุรุษโยคแก่ลัคนาและจันทร์ทั้ง ๒ ตำแหน่ง โดยมีดาวราหูมหาอุจจ์อยู่ในมุมจตุรเกณฑ์เช่นกัน ดาวที่รับกันอยู่ในทุกมุมในรูปจตุรเกณฑ์เช่นนี้ ทำให้ดวงชะตาเข้มแข็ง มีอิทธิฤทธิ์ในตัว ทั้งราหูยังเกาะนวางค์พฤหัส จึงไม่มีพิษสงใด ๆ แผลงฤทธิ์แก่ลัคนาในลักษณะดวงแตกที่กล่าวขวัญกันนั้นกลับทำให้ลัคนาดีเด่นเสียอีก เพราะราหูได้เกณฑ์จากศุกร์เกษตรที่เข้มแข็งในภาพตรงกันข้ามทำให้ท่านทรงคุณอย่างสูงในด้านกฤติยาคมยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้
เมื่อดาวศุกร์เกษตรกุมลัคนา ตนุเศษจะเป็น ๑ คือ ดาวอาทิตย์ศรีมหาอุจจ์นั่นเอง บางท่านอาจจะถือว่าศุกร์ตัวเกษตรนั่นแหละตนุเศษ ตามมติของเกจิอาจารย์สมัยใหม่คิดขึ้นแต่ผมเดินตามแบบโบราณ เพราะมีอ้างอิงไว้อย่างชัดเจนในตำราดวงฤกษ์อสีติโชค ซึ่งคุณศิวะ นามะสนธิรวบรวมคัมภีร์โบราณมาพิมพ์ มีกล่าวไว้ในหน้า ๑๑ และหน้า ๑๒ ว่า “ถ้าเกิดในฤกษ์ชมพูทวีปคือ ฤกษ์ ๑๕, ๑๖, ๑๗, ๑๘ พระจันทร์กำเนิดฤกษ์ ปุนัพพสุ ๗ ปุสสะ ๘ อลิเลศะ ๙ พระ ๔ เป็นมหาอุจจ์ พระ ๔, ๖ เป็นธาตุแม่ ธาตุน้ำกับธาตุดินมาอยู่ด้วยกัน พระ ๑ อยู่ราศีสิงห์เป็นตนุเศษ ตนุเกษตรนำหน้าลัคน์ พระ ๗, ๘ อยู่ตุล พระ ๗ เป็นมหาอุจจ์ พระ ๘ เป็นอุจจาวิลาศเป็นเกณฑ์ พระ ๓ อยู่ราศีกันย์ เป็น ๓ แก่ลัคน์ เรียกว่า ปัจจัยแก่ลัคน์ เป็นชะตาขันธพล (จอมโยธา)” ดังนี้เป็นต้น ตนุเศษเป็นศรีมหาอุจจ์เช่นนี้ ทำให้ท่านเด่น มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่รู้จักกันทั่วไป หากแต่มาเป็นวินาศนะเสียจึงไม่ดีเด่นทางโลกกลายเป็นในทางตรงกันข้าม คือ ทางธรรม ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ เองแม้ท่านจะมีคุณเพียบพร้อมทุก ๆ ด้านก็ไม่ชอบแสดงตัว แสดงอำนาจราชศักดิ์แก่ใคร ชอบทำการแบบพื้น ๆ จนคนมองเห็นว่าเป็นแผลงและนี่เองคือบุคลิกของสมเด็จฯ พระราชาคณะผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้
หันมาพิจารณาดวงของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเพ่งเล็งถึงดาวที่จะส่งดวงชะตา ก็มีพระราหูมหาอุจจ์อยู่ในภพที่ ๘ เข้าลักษณะตำราที่กล่าวว่า “ผิวชะตาผู้ใดได้พระเสาร์ พระราหูเป็นหนึ่ง เป็นสาม เป็นแปด เป็นสิบเอ็ดกับลัคนาก็ดี ชะตาผู้นั้นชื่อว่าได้โยคจะได้เป็นพระยาโดยแท้” ที่ผมสังเกตเห็นมาดาวเสาร์และราหูนี้ ถ้าแหละได้เข้าสถิตย์ยังภพที่ ๘ ของดวงชะตามักจะส่งผลให้เจริญทางยศศักดิ์ดีนัก เสาร์เป็นเกษตรอยู่ในเรือนลาภะก็เป็นโยคที่เด่นอีก พฤหัสกุมจันทร์โยคกับอาทิตย์มหาอุจจ์ ซึ่งกุมลัคน์ก็ดีเด่นอีก เป็นปัจจัยแก่ลัคน์วิเศษแท้ ดาวอังคารเจ้าเรือนลัคน์เป็นนิจจ์ก็จริงอยู่ แต่ได้แรงจากราหูมหาอุจจ์คู่ธาตุส่งกระแสถึง อีกทั้งดาวศุกร์เกษตรคู่มิตร และเป็นศรีชาติโยคหลังอยู่ในเรือนลาภะทำให้ดีเด่นได้อีกประการหนึ่งมีดาวอุจจ์ไปครองเรือนตนุอยู่ ก็ย่อมจะทำให้ดีเด่นขึ้น ลัคนาที่กุมดาวอาทิตย์มหาอุจจ์ซึ่งแวดล้อมด้วยบริวารในกลุ่มดาวพระจันทร์ครึ่งซีกนั้น ช่วยทำให้วาสนาสูงเด่น เสมือนพระจันทร์ลอยเด่นบนฟ้า มีบริวารคือดวงดาราล้อมอยู่คับคั่ง วาสนาจึงได้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี และเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในบั้นปลายอีกด้วย ดาวศุกร์ศรีชาติและเป็นเกษตรในเรือนกฎุมพะ ทำให้ท่านมั่งคั่ง มีทรัพย์สินศฤงคาร ถึงแก่สร้างวัดประจำตระกูลอย่างใหญ่โตมโหฬาร ยากที่จะหาเสนาบดีหรืออัครมหาเสนาบดีผู้ใดมีบุญบารมีเทียบเท่ากับท่านได้ ที่สุดนี้ผมใคร่ขอขอบคุณ คุณสิทธิไกรอีกครั้งหนึ่งที่ได้กรุณาเผยแพร่ดวงชะตาอันมีค่าในประวัติศาสตร์นี้ออกมาเป็นวิทยาทาน ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาดวงบุคคลสำคัญขนาดอัครมหาเสนาบดีเช่นนี้แล้ว ยังเป็นประโยชน์ให้ผมมีโอกาสได้พิสูจน์คือดวงที่แท้จริงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อีกด้วย และถ้าคุณประทีป อัครา จะได้สละเวลาคำนวณสมผุสดวงชะตาของสมเด็จเจ้าพระยาทั้งสามเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาดวงชะตาอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ดังที่ได้ปวารณาตัวไว้แล้ว ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงแก่นักศึกษาทางโหราศาสตร์ทั่ว ๆ ไป ดังที่ได้เคยกระทำมาแล้ว ซึ่งผมขอคารวะน้ำใจอันประเสริฐไว้ในที่นี้ด้วย
สรุปบทวิจารณ์ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ แล้ว เชื่อว่าลัคนาของท่านไม่ใช่ราศีเมษ แต่จะเลยเข้าไปในราศีพฤษภสักกี่องศาไม่อาจทราบได้ แต่เชื่อว่าคงอยู่ต้น ๆ ราศีพฤษภ ท่านอาจารย์พลูหลวงได้อธิบายเปรียบเทียบดวงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ กับดวงของเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) พรหมรังสี ซึ่งเกิดในเวลาใกล้ ๆ กัน ห่างกันเพียง ๕ วัน จันทร์อยู่ห่างกัน ๒ ราศี ถ้าเกิดในลัคนาราศีเมษเหมือนกัน ชีวิตความเป็นอยู่และอุปนิสัยใจคอคงไม่ต่างกันมากนัก แต่นี่ต่างกันอย่างดำเป็นขาว ในดวงลัคนาราศีเมษอุดมไปด้วยยศศักดิ์หลักฐานสืบต่อใหญ่ยิ่ง มีอำนาจเต็มว่าที่สมุหพระกลาโหม และได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเช่นเดียวกับบิดา แต่ในขณะเดียวกันเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีอะไรบ้างที่เหมือนท่านสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เมื่อวางลัคนาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้ที่ราศีพฤษภก็จะอ่านดวงของท่านออกได้ทันที แม้เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะยากไร้ไม่ยินดีในยศศักดิ์หลักฐาน ไม่มีบุตรภรรยา หรือแม้แต่บิดาก็ไม่ปรากฎ เพราะอาทิตย์เป็นวินาศนะ ถึงบิดาจะเป็นพระราชาก็ไม่ปรากฎตัวให้โลกได้รับรู้เป็นทางการ นับว่าท่านเกิดมาอาภัพจริง ๆ ท่านไม่มีดาวศุกร์เป็นกดุมภะจึงเป็นคนยากไร้ แต่มีดาวพฤหัสบดีเป็นกดุมภะจึงได้ทิพย์สมบัติทรัพย์สินของท่านเป็นพระเครื่องพระบูชา ดาวเสาร์กับเกตุในภพกรรมะตรีโกณร่วมธาตุกับดาวพฤหัสบดี ขอให้อ่านภพกรรมะคือผลงานของท่านและกดุมภะอันเป็นทรัพย์สินของท่านให้ออก และลัคนาของท่านอยู่พฤษภเป็นกดุมภะของลัคนาโลกมีดาวศุกร์กุมลัคน เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงกลายเป็นสมบัติอันพึงปรารถนาของโลกไปในที่สุด
ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งวางลัคนาไว้ที่ราศีพฤษภอ่านออกได้ง่าย ๆ อย่างนี้ บัดนี้ท่านได้กลายเป็นจุดยึดมั่นอันสูงสุดของบรรดาท่านนักเลงพระเครื่องทั้งหลายอยู่แล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่าท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ยากไร้ แสนจะอาภัพอับจนในวิถีชีวิตทางโลก แต่ท่านได้ทิพย์สมบัติเพราะมีดาวพฤหัสบดีเป็นกดุมภะซึ่งมีดาวเสาร์และเกตุตรีโกณร่วมธาตุ แสดงว่าผลงานของท่าน ทรัพย์สินของท่าน เมื่อท่านได้ล่วงลับไปแล้วไม่มีใครสนใจใยดีกับพระเครื่องพระบูชาที่ท่านได้อุตส่าห์สร้างทำไว้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล กาลเวลาล่วงมาไม่นาน อภินิหารและบารมีของท่านได้ปรากฏขึ้น พวกเราได้รู้คุณค่าจากผลงานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็เมื่อเกือบจะสายเสียแล้ว ท่านล่วงไปเพียง ๑๐๐ กว่าปี แต่พระเครื่ององค์งาม ๆ ของท่านหาได้ยากมาก ถ้าไม่มีวาสนาบารมี ฉะนั้นท่านผู้ใดมีพระเครื่องของเจ้าประคุณสมเด็จฯไว้บูชาจะเป็นเนื้อผงหรือเนื้ออะไรก็ตามที่ท่านทำหรือได้ปลุกเสกไว้เองจริง ๆ แล้ว นับว่าท่านผู้นั้นมีบุญวาสนาสูงมากทีเดียว
โดย นาวาตรี สันต์ ศุภศรี
๙ เมษายน ๒๕๑๖
กองเรือยุทธการ กรุงเทพมหานคร
หนังสือ ภาพ-ประวัติ พระสมเด็จโต
พ.ต.ต. จำลอง มัลลิกะนาวิน
๑ มีนาคม ๒๕๑๗
โดย นาวาตรี สันต์ ศุภศรี
๙ เมษายน ๒๕๑๖
หน้า ๑๐๑-๑๑๓
บทวิจารณ์ดวงพระชะตา
ดวงพระชะตาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
เมื่อวันอาทิตย์ ๑ เมษายน ๒๕๑๖ พันตำรวจตรีจำลอง มัลลิกะนาวิน นายตำรวจชื่อดังในวงการพระเครื่อง ได้ขอให้ข้าพเจ้าเขียนบทวิจารณ์ดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี เพื่อจะนำลงในหนังสือภาพประวัติพระเครื่องสมเด็จโต ข้าพเจ้ารับที่จะช่วยเหลือด้วยความเต็มใจยิ่ง เพราะเห็นว่าบรรดาท่านนักเลงพระเครื่องทั้งหลายที่มีพระเครื่องบูชาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้บูชาแล้วก็ดี หรือท่านที่กำลังแสวงหาพระเครื่องบูชาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ยังหาไม่ได้เหมาะใจก็ดี ตลอดจนท่านที่มีความศรัทธาแก่กล้าสนใจศึกษาผลงานและชีวประวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่สนใจศึกษาวิชาด้านโหราศาสตร์มาในระบบหรือในระดับใดก็ตาม ควรจะมีดวงพระชะตาที่ถูกตองของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้ศึกษาและบูชาเป็นสิริมงคล
เหตุที่ข้าพเจ้าช่วยจัดการทำบทวิจารณ์ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้นี้ก็เพราะมีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือสติปัญญาของตัวเองเลย เพียงแต่เขียนคำแนะนำและแสดงความคิดเห็นส่วนตัวประกอบบ้างเล็กน้อย ก็ทำให้ท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ของท่านพันตำรวจตรีจำลองฯ ได้รับความรู้เกี่ยวกับผลงานและชีวประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่สนใจศึกษาวิชาด้านโหราศาสตร์มาในระบบหรือระดับใดก็ตาม ควรจะมีดวงพระชะตาที่ถูกต้องของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในทัศนะของนักโหราศาสตร์ได้ดีพอสมควร บทวิจารณ์ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่ว่ามีอยู่แล้วนี้คือ บทความของอาจารย์ “พลูหลวง” ในหนังสือโหราศาสตร์สมัยใหม่ โดย พลูหลวงภายใต้หัวข้อเรื่อง “อันเนื่องมาจากดวงสมเด็จเจ้าพระยา”
หนังสือโหราศาสตร์สมัยใหม่ดังกล่าวนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งผู้พิมพ์และผู้เขียนสงวนสิทธิ์ แต่มีข้อยกเว้นในกรณีนำไปวิจารณ์หรือเพื่อการศึกษาเป็นการส่วนตัว ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์พลูหลวงแล้ว เห็นว่าสมควรจะนำออกเผยแพร่ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งกล่าวถึงผลงานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นส่วนใหญ่ โดยมีทัศนคติว่าเมื่อท่านนักเลงพระได้รู้จักเนื้อและชิ้นส่วนของผลงานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นอย่างดีแล้ว ก็ควรจะรู้จักและอ่านดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่ถูกต้องได้อย่างละเอียดลึกซึ้งพอสมควรเท่าที่ท่านอาจารย์พลูหลวงได้บรรยายวิจารณ์ไว้แล้วนี้
สาเหตุสำคัญที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะนำบทวิจารณ์เกี่ยวกับดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาลงไว้ในหนังสือเล่มนี้ก็เพราะ ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญและและทนอึดอัดใจมานานแล้วที่เห็นดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่เขียนหรือพิมพ์กันในยุคนี้วางลัคนาของท่านไว้ที่ราศีเมษ แทนที่จะเป็นราศีพฤษภที่ข้าพเจ้าได้เคยพบเห็นจากศิลาจารึกเก่า ๆ บางแห่ง หลักฐานแสดงเวลาเกิดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ไม่ค่อยแน่นอน ได้ทราบกันแต่เพียงว่าท่านเกิดที่บ้านตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลาพระบิณฑบาต เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก จ.ศ. ๑๑๕๐ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ สมผุสอาทิตย์ประมาณ ๗ องศาเศษ จะเห็นว่าเวลาเกิดของท่านตอนพระบิณฑบาตนี้ถ้าเช้าสักหน่อยไม่เกิน ๐๗.๓๐ น. ลัคนาก็ยังอยู่ในราศีเมษ แต่ถ้าท่านเกิดสายกว่านี้คือเลยเวลา ๐๗.๓๐ น. ลัคนาก็จะเลื่อนเข้าราศีพฤษภ และถ้าจะวางลัคนาที่ราศีพฤษภมีดาวศุกร์กุมลัคนาราหูเล็งลัคนา และอาทิตย์ศรีมาหาอุจเป็นวินาศนะ คงจะอ่านดวงนี้ว่าเสียหายร้ายแรง จึงเลยช่วยกันย้ายลัคนาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาไว้เสียที่ราศีเมษ มีอาทิตย์เป็นศรีมหาอุจกุมลัคนาวิเศษไปเลย ดาวศุกร์เป็นเกษตรนำหน้า พฤหัสบดีโยคหน้า จันทร์ตรีโกณร่วมธาตุ ราหูดาวร้ายเข้ามรณะ ดวงแบบนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าวิเศษจริง ๆ แต่ต้องไม่ใช่ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ อย่างแน่นอน รายละเอียดปรากฎอยู่ในบทวิจารณ์ของอาจารย์ “พลูหลวง” โดยตลอดแล้วได้คัดมาดังนี้
เท่าที่ผมได้ผ่านสายตามา เกี่ยวกับดวงชะตาบุคคลสำคัญของไทยในอดีตสมัยนั้น มีอยู่ดวงหนึ่งคือ ดวงชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นับว่าเป็นดวงชะตาที่น่าสนใจเป็นพิเศษอาจกล่าวได้ว่า บรรดานักโหราศาสตร์แทบทุกท่านต่างก็มีดวงชะตาวิเศษดวงนี้อยู่ในปูมสถิติส่วนตัวด้วยกันทุกคน โดยยึดถือไว้เป็นแบบฉบับในการศึกษา นับเป็นเวลาสิบ ๆ ปีมาแล้ว
ประวัติดวงพระชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น มีอยู่ในหนังสือของพระยาทิพโกษาซึ่งมีกล่าวไว้ว่า ดวงชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั้น สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ทรงคำนวณถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ด้วยมีพระราชประสงค์จะทรงทราบว่า ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไปจะมีดวงชะตาเป็นอย่างไร แล้วพระราชทานไปยังสมเด็จฯ กรมพระยาเทววงศ์วโรการ และได้ประทานให้พระยาทิพโกษาลอกคัดเก็บรักษาไว้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ดวงชะตาที่คำนวณไว้นี้ ลัคนาจะอยู่ในราศีใดหามีผู้ทราบไม่ เท่าที่ค้นพบในหอสมุดแห่งชาติปรากฎว่าลัคนาอยู่ในราศีเมษกุมดาวอาทิตย์ศรีกำเนิดมหาอุจจ์ แต่พบในที่อื่น ๆ นั้น ลัคนาอยู่ราศีพฤษภแทบทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องน่าฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาเกิดของท่านนั้นทราบแต่เพียงว่าเกิดที่บ้านตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลาพระบิณฑบาต ซึ่งเวลาเกิดคลุมเครือนี้ก็น่าจะวางลัคนาได้สองราศี คือ ไม่อยู่ราศีเมษก็อยู่ราศีพฤษภ ผมเองก็ปักใจว่าลัคนาอยู่ราศีพฤษภ เพราะดูตรงกับชีวประวัติของเจ้าประคุณซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายกันดีอยู่แล้ว เนื่องจากยังหาดวงชะตาลักษณะเดียวกันมาพิสูจน์ไม่ได้จึงเงียบเฉยอยู่
จนกระทั่งได้มาอ่านบทความของคุณสิทธิไกร เรื่อง “ดวงสมเด็จเจ้าพระยา” ซึ่งดุจดังความสว่างที่แลบเข้าไปในความมืด ทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ทะลุปรุโปร่งไปหมด จึงทำให้ผมต้องนำดวงชะตาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาศึกษาอีกครั้งหนึ่ง โดยเทียบเคียงกับดวงชะตาสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ควบคู่กันไป ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านโหราจารย์บางท่านซึ่งยึดถือว่าลัคนาอยู่ราศีเมษ เพราะด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมมิได้มีความประสงค์จะคัดง้างท่านผู้ใด หากแต่วิทยาการโหราศาสตร์นั้นมีทางให้มองไปได้หลายแง่หลายมุม ผมใคร่ขอเสนอความคิดเห็นอีกทัศนะหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางให้คิดกว้างขวางยิ่งขึ้น หวังว่าคงได้รับการอภัยจากท่านผู้รู้ด้วย
เมื่อได้เทียบดวงชะตาทั้งสองดู ก็เห็นว่ามีดวงดาวอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน จะผิดที่ตรงจันทร์ห่างกันเพียง ๒ ราศีเท่านั้น ทั้งนี้ก็ด้วยท่านทั้งสองเป็นสหชาติ โดยเกิดเดือนเดียวปีเดียวกัน สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่มีชันษาแก่กว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ พระพุฒาจารย์ (โต) เพียง ๕ วันเท่านั้น ดาวบนฟ้าจึงอยู่ในรูปเดียวกัน คือ เรียงรายอยู่ติดต่อกัน ๖ ราศี เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ซึ่งเรียกกันว่า จันทรตรีบ้าง มาลัยโยคบ้าง อรรฒจักรบ้าง ซึ่งก็เป็นลักษณะเช่นเดียวกัน
สำหรับอานุภาพกลุ่มดาวแบบพระจันทร์ครึ่งซีก ซึ่งเมื่อได้ร้อยกรองด้วยดาวเด่น ๆ แล้ว จะทรงซึ่งบุญญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ยิ่งนัก ผมเคยเสนอมาให้ทราบครั้งหนึ่งแล้ว ในสมัยโบราณก็คงจะยึดถือดาวลักษณะดังกล่าวนี้ว่าเป็นเลิศเช่นกัน มีข้อพิสูจน์ก็คือ ให้สังเกตดูดวงชะตากรุงศรีอยุธยา ซึ่งพราหมณ์โหราจารย์โบราณได้วางดวงชะตาฤกษ์สร้างเมือง ในขณะที่ดาวโคจรเรียงรายเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีกคือเรียงติดต่อกันถึง ๖ ราศี นี่ก็แสดงให้เห็นว่าโหรโบราณท่านเห็นประจักษ์ความดีเด่นของดาวลักษณะนี้มานานแล้ว และตัวอย่างที่ประจักษ์ชัดว่าดวงชะตาแบบนี้มีอิทธิฤทธิ์เป็นเลิศนั้น ขอให้ศึกษาดูจากดวงชะตาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งทรงกอบกู้อิสรภาพของชาติไทยเป็นผลสำเร็จก็เพราะดวงชะตาของพระองค์ท่านมีดวงดาวเรียงรายเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ทั้งพระลัคนาก็กุมจันทร์มหาอุจจ์ซึ่งเป็นดาวที่เด่นที่สุดในกลุ่มดาวเหล่านั้น มีลักษณะเหมือนกับดวงชะตากรุงศรีอยุธยาไม่ผิดเพี้ยน แม้ดวงชะตาของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ และบุตรชายของท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งได้เป็นอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจเต็มว่าที่สมุหกลาโหมด้วยกันทั้งคู่ และได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเช่นเดียวกัน นับว่ามีบุญบารมีอย่างสูง ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยในดวงชะตามีกลุ่มดาวพระจันทร์ครึ่งซีกสนับสนุนอยู่
เกี่ยวกับดวงชะตาที่คล้ายคลึงกัน คือ ดวงชะตาของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่กับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เช่นนี้ เป็นแบบอย่างการศึกษาอันดีเลิศที่จะพิสูจน์ความแน่นอนของดวงชะตา เพราะทั้งสองท่านต่างก็มีอุปนิสัยไปในทางตรงกันข้าม ไม่มีทางคล้ายคลึงกันเลย หากลัคนาอยู่ราศีเดียวกัน อุปนิสัยใจคอก็ย่อมจะคล้ายคลึงกัน แต่จากชีวประวัติแตกต่างกันราวกับขาวและดำ จึงเห็นได้ว่า ต้องอยู่กันคนละราศีแน่ ๆ ดังจะแยกแยะให้เห็นดังนี้
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่โปรดยศศักดิ์ แม้เรียนรู้พระปริยัติธรรมก็ไม่เข้าแปลเปรียญและไม่รับฐานานุกรม ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะครั้งใด ท่านก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธเสีย และมักหลบไปพักแรมต่างจังหวัดเนือง ๆ ท่านพึ่งจะมายอมรับสมณศักดิ์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี่เอง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงมีพระราชดำรัสถามว่า “เมื่อรัชกาลก่อนทำไมท่านจึงไม่ยอมรับยศศักดิ์ ทีนี้ทำไมจึงยอมรับไม่หนีอีก” สมเด็จฯ ถวายพระพรว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๓ ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้าเป็นแต่เจ้าแผ่นดินเท่านั้น ท่านจึงหนีได้ ส่วนมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าเป็นทั้ง เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านจะหนีไปไหนพ้น คำตอบอันนี้ทำเอาทรงพระสรวลออกมาได้
ความไม่ถือตนของเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั้นมีเรื่องเล่ามาก เช่นเล่ากันว่า คราวหนึ่งท่านถูกนิมนต์ไปเทศน์ เรือติดโคลนในคลอง ท่านก็ลงไปเข็นเรือเอง บางครั้งท่านไปธุระ ท่านเห็นศิษย์แจวเรือระยะทางไกลเหนื่อยมาก ก็ให้นั่งเสีย แล้วท่านไปแจวเอง คราวหนึ่งพระในวัดระฆังกำลังสวดตลกคะนอง ท่านจึงแวะเข้าไปนั่งยอง ๆ ประนมมือกล่าวว่า “สาธุ ๆๆ” แล้วลุกขึ้นเดินหลีกไป อีกคราวหนึ่งพระในวัดระฆังสององค์เกิดทุ่มเถียงกัน องค์หนึ่งว่า “พ่อไม่กลัว” อีกองค์หนึ่งว่า “พ่อก็ไม่กลัว” การเถียงชักรุนแรงขึ้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ยินเข้า จึงเอาดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปหาพระที่ทุ่มเถียงกันนั้น นั่งประนมมือพูดว่า “พ่อเจ้าประคุณฉันขอฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเก่งนัก นึกว่าเอ็นดูต่อฉันเถิดพ่อคุณ” พระทั้งสององค์ได้ฟังดังนั้นก็เลิกทะเลาะกลับกุฏิ ดังได้พรรณาถึงความไม่ถือตัวของเจ้าประคุณสมเด็จฯ นี้ บางทีท่านอาจจะเฉลียวใจได้คิดว่า ลักษณะนี้ไม่ใช่คนอาทิตย์มหาอุจจ์กุมลัคนาแน่ ๆ ควรที่พระอาทิตย์มหาอุจจ์นั้นเลื่อนเข้าสถิตย์อยู่ในภพวินาศนะต่อลัคนา นั่นแหละจึงจะเข้าลักษณะอุปนิสัยอันนี้
ส่วนสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่นั้น ในประวัติศาสตร์กล่าวว่า โปรดในยศศักดิ์ยิ่งนัก สมกับที่เป็นอัครมหาเสนาบดี ท่านชอบในสิ่งหรูหราใหญ่โต เช่น เมื่อคราวไทยมีเรื่องรบติดพันกับญวณ โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ซึ่งมียศเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เป็นแม่กองไปสร้างเมืองที่จันทบุรี ท่านไปเลือกชัยภูมิสร้างเมืองใหม่ที่เนินวัง เมืองที่สร้างใหม่นี้ต้องสร้างบนเนินสูงเด่น กำแพงก่อสร้างด้วยศิลาและสร้างเสียสง่าใหญ่โตมโหฬาร ไม่คำนึงถึงว่าผู้คนจะอาศัยอยู่แล้ว ทำมาหากินจะสะดวกหรือไม่ ท่านชอบของท่านอย่างนั้น ชอบให้เด่น ให้มองเห็นตระหง่านได้แต่ไกล สมกับอำมาตย์ราชศักดิ์ อัครมหาเสนาบดีที่ไปบัญชาการสร้างเมืองนั้น คราวที่พระเจ้าอัครมหาเสนา (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาพระคลังให้เป็นที่สมุหกลาโหมแทน ท่านไม่ยอม เพราะตำแหน่งนี้ไม่เด่นจริง ทั้งไม่ยั่งยืนมั่นคง ขอให้แต่งตั้งคนอื่นแทน จนต้องทรงขอร้องเพราะไม่เห็นว่าผู้ใดจะเหมาะสมพอ จึงต้องรับไว้ การที่กล้าเพ็ดทูลอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็เข้าลักษณะดาวพุธเป็นวินาศนะ และมีอาทิตย์กุมลัคน์ซึ่งเห็นได้ชัดอยู่แล้ว ดวงอาทิตย์ในดวงสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่เป็นเจ้าเรือนปุตตะ เป็นมหาอุจจ์กุมลัคน์ก็สมกับประวัติว่าบุตรคนโตของท่านจะได้มามีตำแหน่งมีอำนาจราชศักดิ์เช่นเดียวกับบิดา ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะต่อมาบุตรคนโตของท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ก็ได้เป็นที่พระสมุทรพระกลาโหมมียศศักดิ์เท่ากับบิดา และได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ตรงกันข้ามกับเจ้าประคุณสมเด็จสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งท่านไม่มีบุตร เพราะบวชมาตั้งแต่เป็นเณร เมื่อลัคนาอยู่ราศีพฤษภ ดาวพุธเจ้าเรือนปุตตะไปเป็นนิจจ์ ดาวพุธนี้เป็นดาวแห่งการเจรจา เมื่อมาอยู่เรือนลาภะต่อลัคนา จึงทำให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ชอบพูดถ้อยคำไพเราะ ระรื่นหูคน และก็ออกจะแผลง ๆ เพราะเป็นนิจจ์ เช่น ท่านไปพบสุนัขนอนขวางทางอยู่ ท่านพูดกับสุนัขนั้นว่า “โยมจ๋า ขอฉันไปทีเถอะจ้ะ” แล้วก็ก้มกายหลีกทางไป มีผู้ถามท่านว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ท่านตอบว่า “ฉันไม่รู้ได้ว่าสุนัขนี้จะเคยเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่”
ลัคนาอยู่ราศีพฤษภ ดาวอาทิตย์มหาอุจจ์ก็จะแปรสภาเป็นดาววินาศนะ ซึ่งก็สอดคล้องกับประวัติเร้นลับของท่าน กล่าวกันว่า ท่านเป็นโอรสลับ ๆ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดาวอาทิตย์หมายถึงบิดา ภพที่ ๑๒ หมายถึงความเร้นลับ สิ่งที่ไม่เปิดเผยสภาพของอาทิตย์เป็นศรีมหาอุจจ์ ย่อมส่อถึงชาติตระกูลของบิดาได้ดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่อาจเปิดเผยได้ ท่านจึงอยู่ในฐานะกำพร้าบิดาตั้งแต่เกิดมา ข้อยืนยันนี้มีปรากฎในจดหมายเหตุบัญชีน้ำฝนของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ว่า “วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ (ต้น) ปีวอก จ.ศ. ๑๒๓๔ เวลา ๒ ยาม สมเด็จพุฒาจารย์ถึงชีพิตักษัย” คำว่าชีพิตักษัย ส่อว่าตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ เมื่อยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร โปรดปรานมาก ทรงรับสั่งไว้ในราชูปถัมภ์และพระราชทานเรือกันยาหลังคากระแชงให้ท่านขี่ไปเทศน์และไปในกิจอื่น ๆ อันเรือกันยาหลังคากระแชงนี้ เป็นเรือประจำยศเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า และเมื่อายุครบอุปสมบทเมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บวชเป็นนาคหลวง ที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นี่ก็พอจะมองเห็นความเร้นลับในประวัติส่วนตัวของท่านซึ่งเกี่ยวกันกับพระราชวงศ์อย่างลับ ๆ และก็เป็นที่เปิดเผยโดยพฤตินัยอันเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาถึงดาวพระเสาร์ เจ้าเรือนภพที่ ๙ ซึ่งหมายถึงบิดา ดาวเสาร์เป็นกาลกรรณีกุมเกตุโดยสนิทองศา (จากสมผุสซึ่ง คุณประทีป อัครา ได้กรุณาคำนวณไว้) ลักษณะแบบนี้แสดงว่าดาวเสาร์ดับอิทธิพลลงโดยสิ้นเชิง ดังที่ผมเคยให้ข้อสังเกตในเรื่องดาวพระเกตุมาแล้วนั้น ก็พอจะพยากรณ์ออกมาได้ว่า เรื่องบิดาของท่านเป็นเรื่องเร้นลับ ไม่เป็นที่เปิดเผย หากแต่เสาร์นั้นไปอยู่ในฐานะเป็นองค์เกณฑ์ให้คุณแก่ดวงชะตา ท่านจึงได้รับอุปการะจากบิดาอยู่ตลอดมา
หันมาพิจารณาถึงดาวศุกร์ เกษตรกุมลัคน์ ดาวศุกร์นี้หนุนเนื่องให้ดวงชะตาดีเด่นได้เกณฑ์ปัญจมหาบุรุษโยค ตามตำราไตรศตโชคมัญชริ ทั้งยังเข้มแข็งเช่นเดียวกับมหาอุจจ์เพราะเกาะวรโคตมนวางค์จึงเป็นศุกร์ที่ดีเด่นจริง ๆ ศุกร์ในราศีพฤษภนี้ถือว่าเป็นศุกร์ขุนคลัง หรือศุกร์แห่งศิลปวิทยาการ มิใช่ศุกร์เจ้าแห่งกิเลศราคะอย่างศุกร์ในราศีตุลย์ (โดยพิจารณาจากภพ มีราศีเมษเป็นลัคนาโลก) อีกประการหนึ่ง มีดาวพฤหัสบดีนำหน้าศุกร์ในตำแหน่งศูนย์พาหะต่อลัคนา ทั้งยังมีดาวอาทิตย์มหาอุจจ์ศรีขนาบหลังอยู่เช่นนี้ จึงทำให้ศุกร์ที่ใฝ่แสวงหาแต่คุณธรรมความดีอย่างแท้จริง
การดูดวงชะตาของพระสงฆ์ ซึ่งบวชตั้งแต่เป็นสามเณรแล้วก็อุปสมบทเป็นพระดำรงสมณเพศตลอดชีพนั้นดูง่ายมาก ท่านให้ดูภพปัตนิและปุตตะจะเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งกว่าอย่างอื่น ด้วยภพทั้งสองดังกล่าวนี้ หรือเจ้าเรือนของภพทั้งสองจะต้องเสียหายถูกเบียดเบียนอย่างหนัก จึงจะดำรงเพศบรรพชิตอยู่ได้ตลอด ก็เมื่อลัคนาอยู่ราศีเมษ นั้นจะไปบวชอยู่จนแก่เฒ่าได้อย่างไร เพราะปุตตะก็เป็นมหาอุจจ์และเป็นศรีกุมลัคนา อีกทั้งปัตนิก็เป็นเกษตรนำหน้าอยู่เช่นนี้คงจะร้อนผ้าเหลือง สึกออกไปรับราชการเป็นพระยาเจ้าพระยานาหมื่นไปนานแล้ว ดูแต่สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งเจริญด้วยยศศักดิ์ในราชการและมีหม่อมนับไม่ถ้วน มีบุตรและธิดาสืบสกุลถึง ๔๔ คน นับว่าสมคล้ายกับดวงชะตาบ่งระบุไว้เช่นนั้นจริง ๆ
แต่เมื่อลัคนาอยู่ราศีพฤษภจะเห็นได้ว่า ราหูบาปเคราะห์ตัวเบียนบ่อนสำคัญไปครองอยู่ยังภพปัตนิ อีกทั้งดาวปัตนิ คือ อังคารเป็นนิจจ์กุมดาวมฤตยูเจ้าแห่งความอาเพศอีกด้วย นี่ก็พยากรณ์ออกมาตรง ๆ ได้เลยว่า ท่านไม่ข้องแวะกับเพศตรงข้ามเอาทีเดียว พิจารณาดวงที่ไม่ต้องการแผ่พืชพันธุ์อีกต่อไป เพราะเนื่องด้วยพิจารณาในแง่นี้แหละ ทำให้ผมยึดมั่นว่าลัคนาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ต้องอยู่ราศีพฤษภแน่นอนตลอดมา
ดาวศุกร์ที่กุมลัคนาอยู่นั้น กลับทำให้ท่านเป็นคนครึกครื้นมองเห็นโลกในแง่ดีและมีอารมณ์ขันเกิดขึ้นเสมอ ท่านสามารถเทศน์ให้คนฮากันตึงอยู่บ่อย ๆ นับว่ามีวาทศิลป์อย่างดีเลิศ ครั้งหนึ่งมีการเทศน์ปุจฉาวิสัชนาในพระบรมมหาราชวัง โปรดให้อาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดระฆังกับพระธรรมอุดม วัดพระเชตุพน เป็นผู้แสดงธรรม ทรงติดเทียนประจำกัณฑ์เทศน์เป็นเงินสลึงเฟื้อง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ชวนเทศน์ออกนอกเรื่อง ถามเจ้าคุณธรรมอุดมว่า “ท่านทราบไหมว่า ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเราทั้งสองสลึงเฟื้องนั้นอย่างไร” เจ้าคุณธรรมอุดม ตอบว่า “ไม่ทราบ” สมเด็จ จึงว่า “อ้าวท่านหัวล้าน ข้าพเจ้าหัวเหลือง ก็หัวละเฟื้องสองไพ ๒ หัวก็เป็นสลึงเฟื้องนะซิ” ผู้ฟังต่างหัวเราะกันฮาใหญ่แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงกลั้นพระสรวลมิได้ แล้วพระราชทานเงินติดเทียนถวายอีก
ดาวอาทิตย์เจ้าเรือนภพที่ ๔ เป็นวินาศน์ ทำให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นคนไม่มีบ้าน ท่านต้องเร่ร่อนคเนจรมากับมารดาตลอดมา ท่านเกิดที่อยุธยา ต่อมามารดาของท่านพาไปพักอยู่บ้านตำบลไชโย ที่อ่างทอง พอท่านสอนนั่งก็พาท่านมาอยู่ ณ ตำบลบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร ต่อมาท่านได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นอนุสรณ์ที่ตำบลนั้น แม้สมัยเมื่อท่านเป็นสมภารวัดระฆังแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ติดที่ ไม่มีเวลาว่าง เนื่องจากไปในกิจนิมนต์บ้าง ไปดูแลควบคุมการก่อสร้างต่างจังหวัดบ้าง หรือบางทีก็ไปธุดงค์เนือง ๆ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมอบการวัดให้พระครูปลัดปกครองดูแลแทน และท่านกำชับกำชาพระในวัดว่า ถ้ามีกิจไปนอกวัดให้บอกลาพระครูปลัดก่อน แม้ตัวท่านจะไปไหนก็บอกลาพระครูปลัดเหมือนกัน ครั้งหนึ่งท่านไม่ทันในงานพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ดำรัสถาม ท่านถวายพระพรว่า เพราะต้องคอยลาพระครูปลัดซึ่งจำวัดยังไม่ตื่น ก็เลยช้าไป
ดาวศุกร์ที่กุมลัคนาอยู่นั้น ทำให้สมเด็จฯ มีอุปนิสัยทางศิลปและรักการก่อสร้าง ท่านได้สร้างถาวรวัตถุไว้หลายแห่ง สร้างพระและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามไว้มากมาย จัดเป็นงานใหญ่แทบทุกวัด แม้เมื่อชราภาพมากแล้ว ท่านไปสร้างวัดวาอารามไกล ๆ ไม่ไหว ท่านก็จะสร้างพระเครื่องไว้มากมายหลายรุ่น และปลุกเสกด้วย พระอาคมขลัง ซึ่งกิตติคุณ “พระสมเด็จฯ” นั้น เป็นที่ทราบร่ำลือกันดีอยู่แล้ว อังคารซึ่งโยคหน้าลัคนาอยู่นั้น ทำให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ กล้าพูด กล้าทำ โดยไม่เกรงกลัวผู้ใด ดาวพฤหัสนำหน้าลัคนาก็เข้าตำราว่าจะเป็นนักปราชญ์สนใจทางธรรม มีอุปนิสัยรักความยุติธรรมดียิ่ง ดาวที่อยู่ในภพเกณฑ์จากจันทร์ มีเสาร์กาลกรรณี (แต่กุมเกตุซึ่งดับพิษร้ายของกาลกรรณีเสียแล้ว) เป็นองค์เกณฑ์อยู่ในภพที่ ๑๐ ทำให้ดาวเสาร์เกษตรดีเด่นขึ้นมาอีก ทั้งเสาร์และศุกร์ที่เด่นนี้เป็นเกณฑ์ปัญจมหาบุรุษโยคแก่ลัคนาและจันทร์ทั้ง ๒ ตำแหน่ง โดยมีดาวราหูมหาอุจจ์อยู่ในมุมจตุรเกณฑ์เช่นกัน ดาวที่รับกันอยู่ในทุกมุมในรูปจตุรเกณฑ์เช่นนี้ ทำให้ดวงชะตาเข้มแข็ง มีอิทธิฤทธิ์ในตัว ทั้งราหูยังเกาะนวางค์พฤหัส จึงไม่มีพิษสงใด ๆ แผลงฤทธิ์แก่ลัคนาในลักษณะดวงแตกที่กล่าวขวัญกันนั้นกลับทำให้ลัคนาดีเด่นเสียอีก เพราะราหูได้เกณฑ์จากศุกร์เกษตรที่เข้มแข็งในภาพตรงกันข้ามทำให้ท่านทรงคุณอย่างสูงในด้านกฤติยาคมยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้
เมื่อดาวศุกร์เกษตรกุมลัคนา ตนุเศษจะเป็น ๑ คือ ดาวอาทิตย์ศรีมหาอุจจ์นั่นเอง บางท่านอาจจะถือว่าศุกร์ตัวเกษตรนั่นแหละตนุเศษ ตามมติของเกจิอาจารย์สมัยใหม่คิดขึ้นแต่ผมเดินตามแบบโบราณ เพราะมีอ้างอิงไว้อย่างชัดเจนในตำราดวงฤกษ์อสีติโชค ซึ่งคุณศิวะ นามะสนธิรวบรวมคัมภีร์โบราณมาพิมพ์ มีกล่าวไว้ในหน้า ๑๑ และหน้า ๑๒ ว่า “ถ้าเกิดในฤกษ์ชมพูทวีปคือ ฤกษ์ ๑๕, ๑๖, ๑๗, ๑๘ พระจันทร์กำเนิดฤกษ์ ปุนัพพสุ ๗ ปุสสะ ๘ อลิเลศะ ๙ พระ ๔ เป็นมหาอุจจ์ พระ ๔, ๖ เป็นธาตุแม่ ธาตุน้ำกับธาตุดินมาอยู่ด้วยกัน พระ ๑ อยู่ราศีสิงห์เป็นตนุเศษ ตนุเกษตรนำหน้าลัคน์ พระ ๗, ๘ อยู่ตุล พระ ๗ เป็นมหาอุจจ์ พระ ๘ เป็นอุจจาวิลาศเป็นเกณฑ์ พระ ๓ อยู่ราศีกันย์ เป็น ๓ แก่ลัคน์ เรียกว่า ปัจจัยแก่ลัคน์ เป็นชะตาขันธพล (จอมโยธา)” ดังนี้เป็นต้น ตนุเศษเป็นศรีมหาอุจจ์เช่นนี้ ทำให้ท่านเด่น มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่รู้จักกันทั่วไป หากแต่มาเป็นวินาศนะเสียจึงไม่ดีเด่นทางโลกกลายเป็นในทางตรงกันข้าม คือ ทางธรรม ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ เองแม้ท่านจะมีคุณเพียบพร้อมทุก ๆ ด้านก็ไม่ชอบแสดงตัว แสดงอำนาจราชศักดิ์แก่ใคร ชอบทำการแบบพื้น ๆ จนคนมองเห็นว่าเป็นแผลงและนี่เองคือบุคลิกของสมเด็จฯ พระราชาคณะผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้
หันมาพิจารณาดวงของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเพ่งเล็งถึงดาวที่จะส่งดวงชะตา ก็มีพระราหูมหาอุจจ์อยู่ในภพที่ ๘ เข้าลักษณะตำราที่กล่าวว่า “ผิวชะตาผู้ใดได้พระเสาร์ พระราหูเป็นหนึ่ง เป็นสาม เป็นแปด เป็นสิบเอ็ดกับลัคนาก็ดี ชะตาผู้นั้นชื่อว่าได้โยคจะได้เป็นพระยาโดยแท้” ที่ผมสังเกตเห็นมาดาวเสาร์และราหูนี้ ถ้าแหละได้เข้าสถิตย์ยังภพที่ ๘ ของดวงชะตามักจะส่งผลให้เจริญทางยศศักดิ์ดีนัก เสาร์เป็นเกษตรอยู่ในเรือนลาภะก็เป็นโยคที่เด่นอีก พฤหัสกุมจันทร์โยคกับอาทิตย์มหาอุจจ์ ซึ่งกุมลัคน์ก็ดีเด่นอีก เป็นปัจจัยแก่ลัคน์วิเศษแท้ ดาวอังคารเจ้าเรือนลัคน์เป็นนิจจ์ก็จริงอยู่ แต่ได้แรงจากราหูมหาอุจจ์คู่ธาตุส่งกระแสถึง อีกทั้งดาวศุกร์เกษตรคู่มิตร และเป็นศรีชาติโยคหลังอยู่ในเรือนลาภะทำให้ดีเด่นได้อีกประการหนึ่งมีดาวอุจจ์ไปครองเรือนตนุอยู่ ก็ย่อมจะทำให้ดีเด่นขึ้น ลัคนาที่กุมดาวอาทิตย์มหาอุจจ์ซึ่งแวดล้อมด้วยบริวารในกลุ่มดาวพระจันทร์ครึ่งซีกนั้น ช่วยทำให้วาสนาสูงเด่น เสมือนพระจันทร์ลอยเด่นบนฟ้า มีบริวารคือดวงดาราล้อมอยู่คับคั่ง วาสนาจึงได้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี และเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในบั้นปลายอีกด้วย ดาวศุกร์ศรีชาติและเป็นเกษตรในเรือนกฎุมพะ ทำให้ท่านมั่งคั่ง มีทรัพย์สินศฤงคาร ถึงแก่สร้างวัดประจำตระกูลอย่างใหญ่โตมโหฬาร ยากที่จะหาเสนาบดีหรืออัครมหาเสนาบดีผู้ใดมีบุญบารมีเทียบเท่ากับท่านได้ ที่สุดนี้ผมใคร่ขอขอบคุณ คุณสิทธิไกรอีกครั้งหนึ่งที่ได้กรุณาเผยแพร่ดวงชะตาอันมีค่าในประวัติศาสตร์นี้ออกมาเป็นวิทยาทาน ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาดวงบุคคลสำคัญขนาดอัครมหาเสนาบดีเช่นนี้แล้ว ยังเป็นประโยชน์ให้ผมมีโอกาสได้พิสูจน์คือดวงที่แท้จริงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อีกด้วย และถ้าคุณประทีป อัครา จะได้สละเวลาคำนวณสมผุสดวงชะตาของสมเด็จเจ้าพระยาทั้งสามเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาดวงชะตาอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ดังที่ได้ปวารณาตัวไว้แล้ว ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงแก่นักศึกษาทางโหราศาสตร์ทั่ว ๆ ไป ดังที่ได้เคยกระทำมาแล้ว ซึ่งผมขอคารวะน้ำใจอันประเสริฐไว้ในที่นี้ด้วย
สรุปบทวิจารณ์ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ แล้ว เชื่อว่าลัคนาของท่านไม่ใช่ราศีเมษ แต่จะเลยเข้าไปในราศีพฤษภสักกี่องศาไม่อาจทราบได้ แต่เชื่อว่าคงอยู่ต้น ๆ ราศีพฤษภ ท่านอาจารย์พลูหลวงได้อธิบายเปรียบเทียบดวงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ กับดวงของเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) พรหมรังสี ซึ่งเกิดในเวลาใกล้ ๆ กัน ห่างกันเพียง ๕ วัน จันทร์อยู่ห่างกัน ๒ ราศี ถ้าเกิดในลัคนาราศีเมษเหมือนกัน ชีวิตความเป็นอยู่และอุปนิสัยใจคอคงไม่ต่างกันมากนัก แต่นี่ต่างกันอย่างดำเป็นขาว ในดวงลัคนาราศีเมษอุดมไปด้วยยศศักดิ์หลักฐานสืบต่อใหญ่ยิ่ง มีอำนาจเต็มว่าที่สมุหพระกลาโหม และได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเช่นเดียวกับบิดา แต่ในขณะเดียวกันเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีอะไรบ้างที่เหมือนท่านสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เมื่อวางลัคนาของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้ที่ราศีพฤษภก็จะอ่านดวงของท่านออกได้ทันที แม้เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะยากไร้ไม่ยินดีในยศศักดิ์หลักฐาน ไม่มีบุตรภรรยา หรือแม้แต่บิดาก็ไม่ปรากฎ เพราะอาทิตย์เป็นวินาศนะ ถึงบิดาจะเป็นพระราชาก็ไม่ปรากฎตัวให้โลกได้รับรู้เป็นทางการ นับว่าท่านเกิดมาอาภัพจริง ๆ ท่านไม่มีดาวศุกร์เป็นกดุมภะจึงเป็นคนยากไร้ แต่มีดาวพฤหัสบดีเป็นกดุมภะจึงได้ทิพย์สมบัติทรัพย์สินของท่านเป็นพระเครื่องพระบูชา ดาวเสาร์กับเกตุในภพกรรมะตรีโกณร่วมธาตุกับดาวพฤหัสบดี ขอให้อ่านภพกรรมะคือผลงานของท่านและกดุมภะอันเป็นทรัพย์สินของท่านให้ออก และลัคนาของท่านอยู่พฤษภเป็นกดุมภะของลัคนาโลกมีดาวศุกร์กุมลัคน เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงกลายเป็นสมบัติอันพึงปรารถนาของโลกไปในที่สุด
ดวงของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งวางลัคนาไว้ที่ราศีพฤษภอ่านออกได้ง่าย ๆ อย่างนี้ บัดนี้ท่านได้กลายเป็นจุดยึดมั่นอันสูงสุดของบรรดาท่านนักเลงพระเครื่องทั้งหลายอยู่แล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่าท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ยากไร้ แสนจะอาภัพอับจนในวิถีชีวิตทางโลก แต่ท่านได้ทิพย์สมบัติเพราะมีดาวพฤหัสบดีเป็นกดุมภะซึ่งมีดาวเสาร์และเกตุตรีโกณร่วมธาตุ แสดงว่าผลงานของท่าน ทรัพย์สินของท่าน เมื่อท่านได้ล่วงลับไปแล้วไม่มีใครสนใจใยดีกับพระเครื่องพระบูชาที่ท่านได้อุตส่าห์สร้างทำไว้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล กาลเวลาล่วงมาไม่นาน อภินิหารและบารมีของท่านได้ปรากฏขึ้น พวกเราได้รู้คุณค่าจากผลงานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็เมื่อเกือบจะสายเสียแล้ว ท่านล่วงไปเพียง ๑๐๐ กว่าปี แต่พระเครื่ององค์งาม ๆ ของท่านหาได้ยากมาก ถ้าไม่มีวาสนาบารมี ฉะนั้นท่านผู้ใดมีพระเครื่องของเจ้าประคุณสมเด็จฯไว้บูชาจะเป็นเนื้อผงหรือเนื้ออะไรก็ตามที่ท่านทำหรือได้ปลุกเสกไว้เองจริง ๆ แล้ว นับว่าท่านผู้นั้นมีบุญวาสนาสูงมากทีเดียว
โดย นาวาตรี สันต์ ศุภศรี
๙ เมษายน ๒๕๑๖
กองเรือยุทธการ กรุงเทพมหานคร
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณาใช้คำสุภาพเเละไม่ใช้คำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเเก่ส่วนรวมเเละบุคคลอื่นขอบคุณครับ