หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เเละประวัติหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง
หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง (พระครูวิจิตรธรรมานุวัติ) เป็นพระคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญในวิชาไสยศาตร์ โหราศาตร์ เเละเเพทย์เเผนโบราณ องค์หนึ่งในภาคตะวันออกเป็นพระคณาจารย์สมัยหลวงพ่ออี๋ เเห่งวัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เเต่เเก่อาวุโสกว่า เเละรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เคยลองวิชากันเป็นที่ชื่นชอบของลูกศิษย์ในสมัยนั้น เเต่ชื่อเสียงของหลวงพ่อวงศ์มิได้โด่งดังไปไกล เนื่องจากท่านเป็นพระที่รักสันโดษ มักน้อย เเละถ่อมตัว ทำเครื่องลางของขลังออกมาน้อยนั่นเอง เเต่ว่าในเขตท้องถิ่นหรือเขตใกล้เคียง ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้กันทั่วไปในวงการ เคยไปร่วมพิธีพุทธาภิเศกกับสมเด็จพระสังฆราชเเพ เเห่งวัดสุทัศน์ที่กรุงเทพมหานครในสมัยนั้น หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ที่กล่าวถึงนี้ ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะอำเภอบ้านค่าย เเละอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านค่าย อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง จากหลักฐานที่เชื่อถือได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เคยมาตั้งค่ายอยู่ที่อำเภอบ้านค่าย ก่อนจะเข้าตีเมืองระยอง ส่วนวัดบ้านค่ายนั้น ตามหลักฐานค้นดูในหนังสือ ประวัติในจังหวัดระยอง จัดทำโดย พระอมรเวทีศรีบูรพาทิศสังฆปราโมกข์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดระยอง ร่วมกับนายวิทยา เกษรเสาวภาค อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง หนังสือหน้า 254 กล่าวว่า วัดบ้านค่ายตามคำบอกเล่าสืบๆกันมา ว่าสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย เป็นราชธานี สมัยนั้น ขอมยังปกครองเเถบนี้อยู่ ขอมได้สร้างวัดเเละโบสถ์ไว้ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง นั้น ตามบันทึกอัตตชีวประวัติ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พศ 2479 ได้กล่าวไว้ว่า หลวงพ่อวงศ์นามเดิมชื่อ วงศ์ นามสกุล วงศ์พิทักษ์ เกิดที่บ้านหนองตาเสี่ยง ตำบล หนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 9 ปีมะเส็ง พศ 2400 บิดาชื่อ น้อย มารดาชื่อ เอี่ยม มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา ทั้งหมด 9 คน หลวงพ่อเป็นคนที่ 4 มีอาชีพในทางทำนา เมื่อหลวงพ่ออายุยังน้อย บิดาได้ตายจากไปเสียก่อน ท่านจึงได้ช่วยมารดาทำนาเลี้ยงน้องๆโดยกู้เงินเขามาซื้อควาย เเล้วทำนาปลดหนี้กู้เขาจนหมด ในปีเดียว เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม อายุ 14 มารดาไปนำไปฝากเลี้ยงไว้ทีวัดเพื่อเรียนหนังสือ โดยนำไปฝากกับพระอาจารย์กลั่น วัดบ้านค่าย ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีโรงเรียนเหมือนกับสมัยนี้ ใครจะเรียนหนังสือต้องไปเรียนทีวัด จังหวัดระยองในสมัยนั้นมีสภาพเป็นป่าเกือบทั้งจังหวัด ในตัวเมืองระยองก็มีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ถนนหนทางก็ไม่มี มีเเต่ทางเกวียน จะไปกรุงเทพฯ ต้องไปลงเรือที่ปากน้ำระยอง นั่งเรือกันหลายวันกว่าจะไปถึงกรุงเทพฯดังนั้นใครจะไปเรียนหนังสือจะต้องมีความมานะพยายามเป็นอย่างดี หนังสือที่เรียนก็เป็นหนังสือ ขอมไทย เเละหนังสือไทย ความประสงค์ของกุลบุตรที่เข้ามาเรียนในวัด ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการบวชเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับหลวงพ่อเมื่ออายุครบบวชท่านจึงได้อุปสมบท ณ วัดบ้านค่าย ตรงกับเดือน 8 เเปดสองหน พ.ศ 2423 ขณะนั้นอายุ 24 ปีโดยมี หลวงปู่สังข์เฒ่า ที่มีอาคมเเก่กล้า เเละเป็นผู้สร้างวัดละหารไร่เป็นพระอุปชฌาย์ พระอาจารย์ดี วัดบ้านค่ายเป็นพระกรรมาจารย์ พระอาจารย์ห่วง วัดหนองกะบอกเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชเเล้วประมาณ 8 เดือนมีเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งที่ทำให้หลวงพ่อเศร้าโศรกมาก คือเหตุเกิดขึ้นคืนหนึ่งในเดือน 4 หลวงพ่อก่อนจำวัดได้จุดธูปเทียนตามปกติ เพื่อบูชาพระก่อนจำวัด ปรากฏว่าธูปหักกลางตกลงมาไหม้ผ้าครอง หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เขียนรำพันไว้ในประวัติของท่านว่า เมือตอนหลับ ธูปหักลงมาไหม้ผ้าครอง ร้องไห้อยู่หลายเวลา ผ้าครองเหมือนคู่บารมีเหมือนพระทีมีชีวิต เมื่อตายไปเเล้ววายปราณ ฉันจังหันเเลไปทำจิตที่พลุ่งพล่านที่หลงไหล เลยเข้ากอไผ่หมูลำมะลอก ตอนนี้ หากไม่ได้อาจารย์ดี พระกรรมาจารย์ของหลวงพ่อมาทำน้ำมนต์ 7 บาตรรดให้เเละหมอบผ้าครองใหม่ให้เเล้ว น่ากลัวว่าหลวงพ่อคงจะลาสิกขา จังหวัดระยองคงจะขาดอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษไปองค์หนึ่ง หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดบ้านค่าย จนถึงพรรษาที่ 10 ประมาณปี พศ 2433 พระอาจารย์ดี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านค่ายได้มรณภาพลง พระยาศรีสมุทรโภคโชคชัยชิตสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองในสมัยนั้น จึงมอบให้หลวงพ่อเป็นผู้รักษาวัดบ้านค่าย ต่อมา พระครูสมุทรสมานคุณเจ้าคณะจังหวัดระยองในสมัยนั้น ได้เเต่งตั้งให้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เป็นเจ้าอธิการวัดบ้านค่าย มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองวัดบ้านค่ายโดยสมบูรณ์ ในปีพศ 2446 หลวงพ่อวงศ์มีพรรษาได้ 24 พรรษา อายุ 46 ปี สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมัยดำรงค์สมณศักดิ์ เป็นที่ พระสุคุณคณาภรณ์ เจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ได้นัดพระเถระผู้ใหญ่ รวม 20 วัดที่วัดเก๋ง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลระยอง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อเเต่งตั้งให้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ดำรงตำเเหน่งเจ้าคณะเเขวงอำเภอ บ้านค่าย ในวันเเรก ท่านไม่ยอมรับ ท่านเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ก็ยังไม่ยอม ให้พระผู้ใหญ่ซึ่งมาประชุมในวันนั้นกลับไปก่อน เเละนัดให้มาประชุมใหม่ในวันรุ่งขึ้น
วันรุ่งขึ้น ฉันเช้าเเล้ว ตีระฆังเข้าประชุมในโบสถ์วัดเก๋งพร้อมกันเเล้ว ท่านเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ได้ประกาศต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ทั้งหมดว่า ท่านวงศ์ ฉันให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามอย่างคือ
1 ให้รับ
2 .ให้สึก
3 ให้ไปเสียต่างเมือง
เมื่อหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ถูกยื่นคำขาดเช่นนี้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับเมื่อหลวงพ่อยอมรับพระสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งมาประชุมกัน ณ ที่นั้น ก็สวดชะยันโต เเละอนุโมทนาสาธุขึ้นพร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธีเเต่งตั้งเจ้าคณะเเขวงบ้านค่าย หรือ เจ้าคณะอำเภอบ้านค่ายปัจจุบัน นับว่า หลวงพ่อวงศ์เป็นเจ้าคณะเเขวงองค์เเรกของอำเภอบ้านค่าย มีวัดในเขตปกครองของอำเภอบ้านค่าย 16 วัด คือ
1 วัดไชยชุมพล ตำบลบ้านค่าย ปัจจุบันเป็น วัดบ้านค่าย
2 วัดสุกรวารี ตำบลบ้านหนองเข้าหมู ปัจจุบันเป็น วัดหนองคอกหมู
3 วัดไชยพฤกธาราม ตำบลหวายกรอง ปัจจุบันเป็น วัดหวายกรอง
4 วัดสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารใหญ่
5 วัดวารีสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารไร่
6 วัดหนองกรับ ตำบลหนองกรับ ปัจจุบันเป็น วัดหนองกรับ
7 วัดสิลาล้อม ตำบลบ้านห้วงหิน ปัจจุบันเป็น วัดห้วงหิน
8 วัดไผ่ล้อม ตำบลบ้านปากกอไผ่ ปัจจุบันเป็น วัดไผ่ล้อม
9 วัดไชยพฤกภุมรา ตำบลบ้านปากน้ำลึก ปัจจุบันเป็น วัดกะบกขึ้นผึ้ง
10 วัดราชธาราม ตำบลบ้านหนองละลอก ปัจจุบันเป็น วัดหนองกะบอก
11 วัดอารัญญิกาวาศ ตำบลบ้านเกาะ ปัจจุบันเป็น วัดเกาะ
12 วัดมรรคาวารินธาราม ตำบลบ้านหนองสะพาน ปัจจุบันเป็น วัดหนองสะพาน
13 วัดทองธาราม ตำบลบ้านเก่า ปัจจุบันเป็น วัดบ้านเก่า
14 วัดตรีชล ตำบลบ้านตาขัน ปัจจุบันเป็น วัดตาขัน
15 วัดปากเเขก ตำบลบ้านปากเเขก ปัจจุบันเป็น วัดปากป่า
16 วัดมาบข่า ตำบลบ้านมาบข่า ปัจจุบันเป็น วัดมาบข่า
ต่อมาในปี พศ 2461 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นถึงปี พศ 2472 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ เป็นที่ พระครูวิจิตรธรรมานุวัติ ดังสำเนาประกาศพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ ดังนี้
พระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์
วันที่ 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2472 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ คือ ให้พระครูวงศ์ วัดบ้านค่าย เป็นพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ
เจ้าคณะเเขวงจังหวัดระยอง เรียนวิชากับหลวงพ่อกง
สำหรับมนต์คาถาเเละวิชาเเพทย์โบราณนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับการสอนประสาทวิชาจากพระภิกษุรูปหนึ่งคือ
หลวงพ่อกง ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวเขมรลูกผสมลาว ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ที่เมืองเขมร
หลวงพ่อวงศ์ ระยอง สมัยเป็นพระภิกษุหนุ่ม ได้ออกเดินธุดงค์เเสวงหาครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้วิชาทั้งหลาย ทั้งยังได้ฝึกปฏิบัติทางจิต ให้เกิดอำนาจเกิดพลัง เเต่การออกเดินธุดงค์กรรมฐานของหลวงพ่อวงค์นั้นท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อกง พระชาวเขมรเข้าจึงเดินธุดงค์เข้าเมืองพนมเปญ เเละได้ไปพักอยู่ที่วัดของหลวงพ่อกง เพื่อขอศึกษาเล่าเรียนวิชาด้วยเป็นเวลานาน วิชาที่หลวงพ่อกงได้ประสิทธิ์ให้หลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เป็นวิชาทางโลกทั้งสิ้น
1 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ เวทย์มนต์คาถา ที่ได้ปรากฎผลมาเเล้วอย่างหน้าอัศจรรย์
2 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การเล่นเเร่เเปรธาตุ การเรียนวิชานี้เเม้สำเร็จผลเเล้วสามารถดลสิ่งต่างๆเช่น โลหะให้กลายเป็นทองคำก็ได้ เสกน้ำธรรมดาๆ ให้เป็นทองคำเต็มขันได้ ให้ทองคำเต็มตุ่มก็ได้
3 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การทำน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งจะทำให้วันอันเป็นมงคล ซึ่งสุดเเต่ว่าจะเป็นงานอะไร รับรองว่าศักดิ์สิทธิ์นัก
4 หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ วิชาเเพทย์เเผนโบราณ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้ศึกษาตัวยาสมุนไพรในป่าจนเกิดความชำนาญ สามารถรู้จักรักษาเฉพาะโรคได้
หลวงพ่อวงศ์อบรมวิญญาณ
เมื่อได้อ่านประวัติของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง กับวิญญาณเเล้วก็อยากเล่าเรื่องผีให้จบสิ้นไปเลย เอาตอนรักษาโดยเฉพาะจะได้ไม่ยืดยาวคือ
ครั้งหนึ่ง มีชาวบ้านป่วยมาก ได้นำตัวไปรักษาพยาบาลภายในบ้านค่ายจนสถานที่คับเเคบไป นายเเพทย์สมัยนั้นไม่มี นอกจากตัวของหลวงพ่อวงศ์เอง เป็นทั้งหมอ เป็นทั้งพยาบาล เป็นทั้งผู้ปรุงยา
ส่วนคนไข้อีกประเภทหนึ่ง พวกนี้ถูกผีป่า เจ้าเขา เข้าสิงร่าง สิงดวงใจ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ต้องอาศัย ธรรมะ เข้าอบรมวิญญาณนั้นให้มาพูดคุยด้วย จนรู้เหตุของการเข้าสิงเเล้ว ท่านจะขอบิณฑบาตไม่ให้จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป
หลวงพ่อวงศ์ ระยอง อบรมด้วยอำนาจเเห่งจิตที่ทรงสมาธินั้นเเล้ว ท่านก็ทำพิธีกรรมอีกครั้ง คือ พรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ นับจากนั้น โรคภัยก็หายขาดไม่เกิดขึ้นอีกเลย
เหตุที่เกิด การที่ผีหรือวิญญาณหรือปีศาจ อะไรก็ได้ที่จะเรียกกันทั้งนั้น ถ้าจะเข้าสิงใครต่อใครได้ ก็ย่อมมีเหตุหลายประการเช่น
1 วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อเวร กันมาก่อนในชาติต่างๆ ได้ตามกระเเสของวิบาทกรรมนั้นมาถึงในชาตินี้ จึงเข้าสิงล้างเเค้น ทำให้ทุกร้อนด้วยกรณีต่างๆ
2 เป็นบุคคลที่ก่อกรรมทำชั่วตลอดเวลา จิตใจเเสวงหาเเต่สิ่งชั่วช้า ลามก เที่ยวเบียดเบียนทำลายชีวิต ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยตกล่วง เมื่อเพียรพยายามให้ทุกข์เเก่ท่าน ที่สุดทุกข์นั้นมาถึงตัว ก็ทำความเดือดร้อนอยู่กับที่ไม่ได้เหมือนไฟลุกลามให้เร่าร้อน วิญญาณเจ้ากรรมก็เข้าสิงกระทำสิ่งที่ตนเองไม่รู้ตัวเช่น ทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บ ทำอนาจารตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว ทำลายทรัพย์สินที่ตนสร้างขึ้นให้หมดไป จนสิ้นหลักเเหล่ง ไปในที่สุด
3 จิตเดิมของมนุษย์เป็นจิตที่บริสุทธิ์เป็นประภัสสร เเต่เนื่องจากกระเเสกิเลส ทำให้หลงใหลใฝ่ฝันตกหลุมพรางกิเลส ที่ไม่เคยนิยมให้คนทำความดี ตรงกันข้ามกลับนิยมชมชื่น ถ้าบุคคลทั้งปวงทำความชั่วช้าเลวทราม ยิ่งศีลธรรมด้วยเเล้ว เป็นอันหมดกันไม่มีติดดวงจิต ดวงใจเลย อัปมาดังเรือเดินทะเล ถ้าเปิดทางให้น้ำทะเลเข้ามาอยู่เสมอๆ มิช้ามินาน เรือลำนั้นจะต้องจมสู่ก้นทะเลลึกเเน่นอนฉันใด จิตใจมนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าไม่มีศีลธรรมภายในในดวงจิตเเล้ว ปากประตูใจถูกเปิด ก็ย่อมเป็นที่อาศัยของกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาเเทรกสิง เพราะความชั่วก็เข้าได้ บาปกรรมก็เข้าได้ ยักษี ผีเปรตก็เข้าได้ ไม่ช้าจิตก็เต็มไปด้วยของเสีย ของเน่า ดังนั้นผีจะเข้าร่าง จิตใจของมนุษย์ได้เเล้ว ย่อมไม่มีสิ่งอื่นนอกจาก 3 ข้อนี้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้อบรมสั่งสอนว่า ให้ตรวจ ให้ดูจิตใจเราเอง เหตุที่จะเกิด มันเกิดที่ใจเท่านั้น ความชั่วมิได้เเทรกเข้าเนื้อเข้าหนัง ไม่ได้เเทรกเข้าที่อื่นเลย ปิดช่องเข้าเสียซิ ถ้าเข้าหูก็อุดหู เข้าตาก็อุดตา เข้าปากก็อุดปากงับมันเสีย เข้าจมูกก็อุดมันเสีย ลิ้นก็ถูกปากงับไว้เเล้ว เพราะประตูเหล่านี้ เเหละที่กิเลสผีร้ายเข้าสิงใจได้ ดังนั้นเหตุเกิดที่ใจ ก็ต้องดับเหตุที่ใจเช่นกัน ผีเปรตอะไรจะเข้ามาได้ละทีนี้
วิธีรักษา หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เป็นพระที่ทรงศีล เป็นพระที่ดีวิเศษธรรม มีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อ ฉะนั้นใครก็ตามที่ถูกผีป่าเข้าสิง ท่านจะรักษาให้ด้วยดีเสมอมา การรักษาท่านมีวิธีการของท่านเเต่คงไม่พ้นหลักเมตตาเเละญานรู้เห็น หมายความว่า ก่อนทำการรักษา ท่านต้องกำหนดดูให้รู้เเจ้งว่า วิญญาณผีนั้น มีความสัมพันธ์กับคนป่วยหรือไม่อย่างไร เป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า เเละดูถึงจุดประสงค์เเละวิบากกรรมเก่า
1 เมื่อรู้ชัดเเล้ว ถ้าเเก้ไข้ได้ท่านจะเทศนาสั่งสอนดวงวิญญาณนั้นให้ละวางความพยาบาทเเละชี้ทางดีที่ควรให้ พร้อมทั้งเเผ่เมตตาด้วยกุศลเเห่งธรรม
2 พื้นฐานจะให้วิญญาณหรือผี เชื่อได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ด้วยศีลเเละความดีงามอันมีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ถ้าดีจริง มีศีลบริสุทธิ์จริง วิญญาณย่อมรู้เเละเชื่อฟังโดยดี
3 อัปมาดังบุรุษสองคน มีเหตุวิวาทบาดหมางกัน เมื่อบุคคลมาห้ามปราม บุคคลนั้นจะเป็นที่เคารพเชื่อถือของบุรุษ ทั้งสองฝ่าย จะต้องเป็นบุคคลดี มีศีล มีธรรม น่านิยมเลื่อมใส จึงจะยุติได้เพราะเชื่อฟังด้วยผลของความดี
หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เเห่งวัดบ้านค่าย ก็เช่นกัน ท่านเป็นพระภิกษุที่ทรงไว้ด้วยศีลาจารวัตร ไม่มีความด่างพร้อยอันใด การที่จะเอาผีร้ายออกจากจิตใจของคนป่วยนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือการบังคับขับไล่ด้วยเวทมนต์ เพียงเเต่อาศัยอำนาจความดีจริง มีพรหมวิหารธรรม เข้าต่อรองเท่านั้น ผีจะอนุโมทนาเข้าป่าหายไป (ป่ากิเลส)
น้ำมนต์ดอกบัวบาน
น้ำพระพุทธมนต์ที่ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้กระทำพิธีขึ้นนี้ เเม้ได้ยินชื่อก็ศรัทธาเสียเเล้วคือ พระเจ้า 5 พระองค์ หรือน้ำมนต์ดอกบัวบาน
การที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะสร้างน้ำพระพุทธมนต์วิเศษนั้น มิใช่ว่าทำได้ทุกวันเหมือนอย่างสำนักต่างๆ เช่นในปัจจุบัน ที่เขาทำกัน เเล้วกรองใส่ขวดขายขวดละ 20-30 บาทนะ ท่านไม่เอาหรอกน้ำมนต์ของท่านนั้น ในช่วง 1 ปี ท่านจะทำเพียงครั้งเดียว คือวันบูชาครู เเละอุปัชฌาย์ อาจารย์ผู้ให้กำเนิด คือ
1 ครู ก็หมายถึง องค์พระศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า (องค์สมณโคดมเจ้า)
2 พระอุปัชฌาย์ หมายถึง ครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์สั่งสอนอบรมให้เกิดศีล ให้เกิดธรรม
3 พระพรหมของบุตร คือ บิดาเเละมารดาผู้ให้กำเนิดซึ่งมือสอง ขาสอง ศรีษะหนึ่ง เป็นต้น เมื่อวันอันเป็นสิริมงคลมาถึง ท่านก็จะกระทำน้ำพระพุทธมนต์ เอาน้ำใส่โอ่งมังกร พร้อมทั้งนำเทียนไขมา เเล้วบริกรรมภาวนาจนจิตสงบเป็นสมาธิ ความอัศจรรย์นั้นคือน้ำตาเทียนที่หยดลงมานั้นจะเเตกเป็น 5 กลีบ มีลักษณะคล้ายดอกบัวบาน โดยในเเต่ละหยดของน้ำตาเทียนจะมีลักษณะเหมือนกันหมด มองดูเหมือนดอกบัวบานชูช่อ กลางสระน้ำฉันนั้น
สรรพคุณ น้ำพระพุทธมนต์ชนิดนี้ ดีเด่นหลายประการ
1 รดหรือ อาบ หรือ ประพรม ให้คนป่วยเป็นบ้าวิกลจริตเพ้อคลั่งจนดุร้าย หายดีนักเเล
2 คนถูกภูตผีปีศาจ อาละวาดสิงสู่ หรือพื้นที่เเผ่นดินเกิดอาอรรพถ์ พี่น้องคดโกงประสงค์ร้ายกัน ให้ใช้ประพรม อบรมด้วยอธิฐานจิตใช้ได้ดีนักเเล
3 ชายชาตรี สตรีองอาจ ให้อาบ รด ประพรม ให้อยู่คงกระพันเเคล้วคลาดปราดเปรื่องเรือง ปัญญาดีนักเเล หรือจะหลบ จะลี้ จะหลีก จะเลี่ยง ล้วนใช้ประโยชน์ได้ดีนักเเล
มหาประสาน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านมีมนต์ขลังอยู่บทหนึ่ง ซึ่งสามารถเเปลออกมาเป็นวิชามหาประสาน สมัยที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ยังมีชีวิตอยู่นั้น เเม้ว่าใครก็ตาม มีความประสงค์จะให้ท่านลงนะ โดยการเเผ่เมตตาจิตลงยังธูปหอม เเล้วนำกลับไปบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะทำให้ด้วยความยินดี วิธีของท่านคือ นำธูปทั้งซองมาถวายท่าน ท่านรับเอาไปเเล้ว ก็เขียนตัว นะ เป็นภาษาขอม จากนั้นท่านก็ตบเบาๆ ปรากฏว่าภายในซองที่บรรจุธูปทุกดอกจะติดเป็นอักขระ นะ ทุกดอก ตอนนี้เเหละเป็นช่วงสำคัญ หลังจากจุดธูปบูชาพระเเล้ว ขี้นั้นเองเป็นยาวิเศษมหาประสานใครเป็นเเผลก็เอาขี้ธูปมาปิดบาดเเผลจะหายวันหายคืน ถ้าใครถูกมีดบาด เลือดไหลไม่หยุด ก็เอาขี้ธูปทาตรงบาดเเผลเข้าเลือดจะหยุดไหลทันที บุรุษใดหลงทาง เกิดโดนคมเเฝกของหนุ่มบ้านอื่นกลับมาชนิดชอกช้ำดำเขียวมาละก็ไม่ยากอะไรเลยเเค่เอาน้ำพระพุทธมนต์ของท่านเเละขี้ธูปนั่นเเหละผสมเข้ากันเเล้วก็ทาถูๆ เเก้ชอกช้ำได้ดีนักเเล
ปีตกสิณ ความสามารถของ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง นั้น นับได้ว่าน่าทึ่ง น่าเลื่อมใสศรัทธา โดยเฉพาะหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ท่านมีความสามารถยิ่งรูปหนึ่งในวงการพระสงฆ์ไทย ความชำนาญของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง เท่าที่ศึกษามาทั้งหมด ดูเหมือนว่าท่านกระทำได้ทุกอย่าง เเละมีความชำนาญเสียด้วย ปีตกสิณ คือ การเพ่งสีเหลือง เเล้วอธิฐานจิตให้กลายสภาพเป็นอย่างอื่นนี้ ในประวัติของท่านได้กล่าวไว้ว่า คราวใดถ้ามีพระสหธรรมิก ผู้สนิทชื่นชอบกันเดินทางมาเยี่ยมเยือน หรือมาเพื่อเเลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง มักจะทำอะไรพิเศษๆให้ดู เเละโอกาสนี้บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ปรนนิบัติก็พลอยเป็นบุญตาไปด้วย ดังคราวนี้ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้หยิบใบพลูสดๆ สีเขียวมาจากเชี่ยนหมาก เเล้วก็วางไว้บน ขวามือ มืออีกข้างหนึ่งมาประกบไว้ ปากก็บริกรรมคาถา มือท่านก็ถูใบพลูไปมา ครู่เดียวเท่านั้นความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือใบพลูที่สีเขียวสดนั้นบัดนี้ได้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปเสียเเล้ว ท่านส่งไปให้พระสหธรรมิกชม ส่งไปดูกันรอบๆ กลับมาถึง ท่านเเล้ว ท่านได้โยนลงกระโถนพร้อมพูดว่า นี่มันเป็นของไม่จริง เราสร้างขึ้นเอง อำนาจของปีตกสิณ สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ใจปราถนา นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์ทั้งพระเณรฆราวาส ก็ยังได้ดูของวิเศษหลายอย่างอีกด้วย เช่น หลวงพ่อวงศ์ท่านเอาผ้าเช็ดปาก เช็ดน้ำหมาก เพราะท่านฉันหมากพลู มาถือ บริกรรมชั่วครู่เดียวท่านก็โยนผ้าลงไป กลายเป็นตะขาบตัวเขื่อง คลานวนเวียนไปมา บางคราวท่านก็เอาผ้าอีกนั้นเเหละ เสกบริกรรมชั่วครู่เดียว กระต่ายสีขาววิ่งไปมาทั่วกุฏิของท่านเเละนี่คือความจริงที่หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้กระทำให้เกิดขึ้นมาเเล้วเเต่อดีต
รู้มรณกาล มีเรื่องที่จะเล่าเเทรกไว้ในตอนนี้เกี่ยวกับ เรื่องมรณภาพของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง คือ ก่อนมรณภาพดูหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ชรามาก เพราะเป็นผู้ที่บากบั่นทำการงานหนักมาเเต่อายุน้อย เเม้บวชเเล้วก็ทำงานในด้านพัฒนาวัด ทั้งเมื่อได้รับเเต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะเเขวงเเละพระอุปชฌาย์ ตลอดจนเมื่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ก็มีกิจนิมนต์ต่างๆ ทั้งในด้านบวชกุลบุตรซึ่งจะต้องเดินทางรอนเเรมไปในที่ต่างๆทั้งใกล้เเละไกล ประกอบกับการเดินทางในสมัยนั้นไม่มียานพาหนะที่จะอำนวยความสะดวกเช่นในปัจจุบันนี้ ต้องใช้เกวียนไปจึงเหน็ดเหนื่อยมาก ก่อนหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมรณภาพไม่นาน ท่านจะพูดว่า ใบไม้เหลืองเเล้วก็ต้องร่วง ใบอ่อนก็ผลิเเตกขึ้นมาเเทน เป็นธรรมดาของโลก วันสองวันกูก็จะสบายเเล้ว มอบวัดให้คุณดิ่ง ครอง 2 วัดคือ วัดบ้านค่าย เเละ วัดไผ่ล้อม
ดูหลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะทราบมรณภาพของท่าน คือหลังจากได้ปรารถถึงความตายเเล้ว ท่านก็จัดการกับลูกศิษย์ของท่านชื่อ นายไหล ซึ่งมาอยู่วัดกับหลวงพ่อตั้งเเต่อายุ 5 ขวบ จนถึง 13 ขวบ โดยให้นายไหลไปอยู่กับหลวงพ่อทบ วัดกะบกขึ้นผึ้งเป็นการจัดการเรื่องของศิษย์ที่ท่านเป็นห่วงอยู่เป็นที่เรียบร้อย ในวันมรณภาพนั้น หลังจากฉันเช้าเเล้ว ท่านพูดพึมพำว่า ถึงเวลาเเล้วก็กลับไป เเล้วสั่งว่า ถ้าท่านมรภาพเวลาปลงศพให้ใส่เปลือกข่อยลงไปด้วย หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ถือพิมพ์ยา ไปกดพิมพ์เป็นลูกกลอน เมื่อกดพิมพ์ได้พอสมควรเเล้วก็มานั่งปั้นเป็นลูกกลอน ขณะที่ปั้นอยู่นั้นหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั่งตะเเคงมรณภาพด้วยอาการสงบ ตรงกับที่หลวงพ่อเคยปรารถไว้ทุกประการ ในการปลงศพของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เมื่อจุดไฟประชุมเพลิงปรากฎว่าจุดไฟไม่ติด ได้พยายามจุดกันหลายหนก็ไม่ติด จนนายไหลซึ่งเป็นศิษย์นึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ก่อนมรณภาพ จึงไปถากเปลือกข่อย มาสุมไฟจึงติดเเละประชุมเพลิงได้ ในขณะที่ไฟกำลังลุกอยู่นั้น บรรดาผู้ที่มาร่วมกันประชุมเพลิง ได้เห็นไก่ขาวบินจากทางทิศเหนือผ่านซุ้มประตู ข้ามเมรุ บินหายเข้าไปกุฏิหลวงพ่อ จากเหตุที่ไก่ขาวบินเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อนั้นเป็นนิมิตทำนองบอกใบ้ไว้ว่า ถัดจากหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษอีกท่านหนึ่งมาอยู่ที่วัดบ้านค่าย นั้นก็คือหลวงพ่อดิ่งนี่เอง ซึ่งเป็นศิษย์องค์เเรกที่หลวงพ่อวงศ์ ระยองอุปสมบทให้
รวมสิริอายุของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง หรือ ท่านพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ เเห่งวัดบ้านค่าย ได้ 83 ปี รวมพรรษา 59 ปี
หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้อำลาชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยลำเค็ญไปเเล้ว ฝากไว้เเต่ความดีมีอุปาระเเก่ญาติโยมได้ระลึกถึงอย่างไม่มีวันลืม
เหรียญหลวงหลวงพ่อวงศ์ ระยอง,หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง
ท่านได้สร้างเหรียญไว้ 5 รุ่นด้วยกัน คือ
1. เหรียญหลวงพ่อวงศ์ ระยอง รุ่นพระพุทธชินราช หรือเหรียญบัวผุด ปี 2472 ลักษณะเหรียญคล้ายเหรียญหลวงปู่บุญ วัดกลางบางเเก้วเเตกต่างกันตรงที่ใบบัวเเถวล่างของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ด้านขวามือขององค์พระหายไปหนึ่งกลีบ
เหรียญหลวงพ่อวงศ์ ระยอง รุ่น บ้านไข้ รุ่นนี้ประวัติที่วัดยังไม่มีรูปถ่ายเเละประวัติไม่เเน่ชัดเพราะไม่มีภาพถ่ายเเละประวัติอยู่ในวัด
การโชว์เหรียญหลวงพ่อวงศ์ ระยอง เเต่ละประเภทนั้นเป็นการโชว์
เพื่อเเนวทางศึกษาเท่านั้นไม่อาจเป็นข้อยุติว่าเป็นเหรียญเเท้เเละเหรียญไม่เเท้ การเช่าซื้อเเละสะสมควรระวังเพราะของเก๊มีทุกรุ่น การเช่าซื้อควรปรึกษาผู้รู้ขอขอบคุณเจ้าของภาพทุกเหรียญในที่นี้ไม่ไช่เป็นพาณิชย์เเละขอบคุณข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่เเละวัดบ้านค่ายที่ให้ข้อมูล ขอบคุณครับ
ข้อความทั้งหมดท่านสามารถใช้เพื่อทางการศึกษาได้
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://bermudathai.blogspot.com/2012/07/80.html
วิธีดูเหรียญ แท้ ปลอม สร้างเมื่อไร มีเกณฑ์พิจารณาอย่างไร
วิธีดูว่าเหรียญหลวงพ่อมีอายุเท่าไร สร้างในพ.ศ.ไหนตามหลักมาตรฐาน สากลนิยม
ในปัจจุบันนี้ พระเครื่องประเภทเหรียญพระพุทธ และเหรียญคณาจารย์รุ่นเก่าๆ โดยเฉพาะเหรียญหลักยอดนิยมในอันดับต้นๆ มีค่านิยมสูงมาก การทำปลอม จึงมีการพัฒนาวิธีการทำได้ใกล้เคียงของแท้มาก เนื่องจากของปลอมนำเหรียญแท้ไปถอดพิมพ์ จึงทำให้ของปลอมมีจุดตำหนิที่ด้านหน้าและด้านหลังของเหรียญ ใกล้เคียงกับของแท้มาก จะแตกต่างกันที่ความชัดของตัวหนังสือ และความชัดของเส้นแตก รูเจาะหูเหรียญ ตลอดจน ขอบข้างของเหรียญ ซึ่งเป็นจุดสำคัญ ในการพิจารณาเหรียญที่สำคัญที่สุด
ท่านจะเห็นได้ว่า ในการซื้อ-ขายเหรียญนั้น ผู้ชำนาญการจะจบลงที่การพิจารณาขอบข้างของเหรียญ ซึ่งเป็นบทสรุปในการพิจารณาว่า แท้หรือไม่ เพราะขอบด้านข้างของเหรียญ ยังไม่สามารถปลอมแปลงได้เหมือน เนื่องจากร่องรอยที่เกิดขึ้นที่ด้านข้างของเหรียญนั้น เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากขั้นตอนการผลิต
อย่างไรก็ตาม การปั๊มตัดข้างเหรียญนั้น แบ่ง ออกเป็น 3 ยุค คือ 1.ยุคประมาณ พ.ศ.2440-พ.ศ.2485 2.ยุคประมาณ พ.ศ.2486-พ.ศ.2499 3.ยุคประมาณ พ.ศ.2500-ปัจจุบัน
1. เหรียญช่วงปี พ.ศ.2440-พ.ศ.2485 นิยมสร้างเหรียญที่มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม รูปไข่ รูปทรงอาร์ม และทรงเสมา รูปทรงเหรียญทั้งสี่แบบนี้ สามารถแยกกรรมวิธีการสร้างได้เป็น ๒ ชนิด คือ เหรียญปั๊มชนิดข้างเลื่อย และเหรียญปั๊มชนิดข้างกระบอก ซึ่งเหรียญที่มีกรรมวิธีการสร้างทั้ง ๒ ชนิดนี้มีรายละเอียด คือ เหรียญปั๊มข้างเลื่อย คือ การนำแผ่นโลหะที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดของตัวเหรียญ มาทำการปั๊มขึ้นรูปเหรียญ ให้ได้ตามลักษณะรูปทรงของเหรียญ ตามต้องการ จากนั้นนำมาเลื่อยฉลุโลหะส่วนที่เกินออกมาเป็นเหรียญตามรูปทรงนั้นๆ วิธีการนี้จึงเรียกว่า "เหรียญปั๊มข้างเลื่อย" ซึ่งบริเวณด้านข้างของเหรียญจะปรากฏรอยเลื่อยให้เห็นเหรียญปั๊มข้างกระบอก คือ เหรียญปั๊มข้างกระบอกนั้น ส่วนใหญ่โรงงานปั๊มเหรียญจะทำบล็อกกระบอกเป็นรูปทรงกลม และรูปไข่เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการทำกระบอกที่จะนำมาปั๊มเหรียญจะมีวิธีทำที่ไม่ยุ่งยาก และไม่เสียเวลามากนัก แต่เหรียญที่มีข้างกระบอกไม่ได้มีเพียงรูปทรงกลมและรูปไข่เท่านั้น รูปทรงเสมาและรูปทรงอาร์มก็มีเช่นกัน แต่น้อยมาก เนื่องด้วยกรรมวิธีการทำที่ยุ่งยากกว่า
เท่าที่พบในการสร้างเหรียญปั๊มข้างกระบอก รูปทรงอาร์ม และรูปทรงเสมา ในปี พ.ศ.2440-พ.ศ.2485 ก็มีเหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ พิมพ์ขอเบ็ด เหรียญหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก พิมพ์หน้าใหญ่ เป็นต้น
การปั๊มแบบข้างกระบอก คือ การนำแผ่นโลหะมาเลื่อยตามรูปทรงของเหรียญที่จะทำการปั๊ม เพื่อเข้ากระบอก และทำการปั๊มรูปเหรียญนั้นๆ แผ่นโลหะที่ถูกแรงกระแทกจากการปั๊มขึ้นรูปนั้นขอบด้านข้างจะปลิ้น ไปเบียดกับขอบกระบอก ที่เป็นตัวบังคับดังนั้น ด้านข้างของเหรียญปั๊มชนิดนี้จึงเรียบเนียน เนื่องจากการปั๊มเข้ากระบอก โดยมีตัวกระบอกเป็นตัวบังคับ แต่หากพบรอยเส้นทิวบางๆ ในขอบข้างของเหรียญชนิดนี้ก็อย่าตกใจ เพราะสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการที่ช่างแต่งตัวบล็อกกระบอก ที่จะปั๊มเหรียญไม่เรียบ เวลาปั๊มออกมาจึงมีลักษณะไม่ค่อยเรียบตามตัวบล็อค
2.เหรียญปั๊มข้างตัด (ปั๊มตัดแบบยุคเก่า) การสร้างเหรียญชนิดนี้จะอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ.2486-พ.ศ.2499 เนื่องจากการสร้างชนิดแบบเก่าที่มีการเข้ากระบอก และแบบเลื่อยขอบ มีความยุ่งยาก และเสียเวลา อีกทั้งในช่วงนี้เริ่มมีวิวัฒนาการในการสร้างเหรียญปั๊มขึ้นมาตลอด เครื่องจักรก็เริ่มมีความทันสมัยขึ้น โรงงานมีการทำตัวตัดขึ้นเพื่อความสะดวกในการตัดเหรียญให้ขาด โดยไม่ต้องมาเลื่อยให้เสียเวลาอีก แต่การปั๊มเหรียญและตัดในยุคนั้น จะแตกต่างกับเหรียญในปัจจุบัน คือ ด้านข้างของเหรียญจะมนๆ ไม่ค่อยมีริ้วรอยมากนัก อีกทั้งเหรียญช่วง พ.ศ.นี้ลักษณะของเหรียญด้านหน้าจะนูนเล็กน้อย แต่ด้านหลังจะเป็นแอ่งกระทะ ซึ่งเกิดจากการปั๊มและตัดเหรียญนั่นเอง ตัวอย่างของเหรียญที่สร้างขึ้นในยุคนี้ เช่น เหรียญหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง บล็อกยันต์วรรค ปี 2486 เป็นต้น
3.เหรียญปั๊มยุค พ.ศ.2500-ปัจจุบัน
ในยุคนี้มีการพัฒนาตัวตัดด้านข้างเหรียญที่ทันสมัย เพื่อความสะดวกในการตัดเหรียญจำนวนมากๆ การพัฒนาตัวตัดยุคนี้จึงค่อนข้างคมชัด บางครั้งในเหรียญหลวงพ่อเดียวกัน มีตัวตัด ๒ ตัว เนื่องจากการสร้างเหรียญในแต่ละครั้งมีจำนวนมากขึ้น เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ รุ่น ปี พ.ศ.2500 และเหรียญ 25 พุทธศตวรรษ เนื้อทองคำ และเนื้อเงิน ด้วยเหตุนี้ตัวตัดในยุคนี้จึงค่อนข้างคม เพื่อสะดวกในการตัดเหรียญจำนวนมากๆ
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องเหรียญ สามารถศึกษาข้อมูลได้ในหนังสือ "เปิดตำนานเหรียญ" ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมเหรียญดังทุกยุค ทุกรุ่น ทุกพิมพ์ ที่นิยมในวงการพระเครื่อง รวมทั้งเรื่องของเหรียญเก่า เหรียญแพง เหรียญหายาก ที่ยังไม่มีการทำปลอม โดยจะมีรายละเอียดทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และขอบของเหรียญ
วันรุ่งขึ้น ฉันเช้าเเล้ว ตีระฆังเข้าประชุมในโบสถ์วัดเก๋งพร้อมกันเเล้ว ท่านเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ได้ประกาศต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ทั้งหมดว่า ท่านวงศ์ ฉันให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามอย่างคือ
1 ให้รับ
2 .ให้สึก
3 ให้ไปเสียต่างเมือง
เมื่อหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ถูกยื่นคำขาดเช่นนี้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับเมื่อหลวงพ่อยอมรับพระสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งมาประชุมกัน ณ ที่นั้น ก็สวดชะยันโต เเละอนุโมทนาสาธุขึ้นพร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธีเเต่งตั้งเจ้าคณะเเขวงบ้านค่าย หรือ เจ้าคณะอำเภอบ้านค่ายปัจจุบัน นับว่า หลวงพ่อวงศ์เป็นเจ้าคณะเเขวงองค์เเรกของอำเภอบ้านค่าย มีวัดในเขตปกครองของอำเภอบ้านค่าย 16 วัด คือ
1 วัดไชยชุมพล ตำบลบ้านค่าย ปัจจุบันเป็น วัดบ้านค่าย
2 วัดสุกรวารี ตำบลบ้านหนองเข้าหมู ปัจจุบันเป็น วัดหนองคอกหมู
3 วัดไชยพฤกธาราม ตำบลหวายกรอง ปัจจุบันเป็น วัดหวายกรอง
4 วัดสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารใหญ่
5 วัดวารีสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารไร่
6 วัดหนองกรับ ตำบลหนองกรับ ปัจจุบันเป็น วัดหนองกรับ
7 วัดสิลาล้อม ตำบลบ้านห้วงหิน ปัจจุบันเป็น วัดห้วงหิน
8 วัดไผ่ล้อม ตำบลบ้านปากกอไผ่ ปัจจุบันเป็น วัดไผ่ล้อม
9 วัดไชยพฤกภุมรา ตำบลบ้านปากน้ำลึก ปัจจุบันเป็น วัดกะบกขึ้นผึ้ง
10 วัดราชธาราม ตำบลบ้านหนองละลอก ปัจจุบันเป็น วัดหนองกะบอก
11 วัดอารัญญิกาวาศ ตำบลบ้านเกาะ ปัจจุบันเป็น วัดเกาะ
12 วัดมรรคาวารินธาราม ตำบลบ้านหนองสะพาน ปัจจุบันเป็น วัดหนองสะพาน
13 วัดทองธาราม ตำบลบ้านเก่า ปัจจุบันเป็น วัดบ้านเก่า
14 วัดตรีชล ตำบลบ้านตาขัน ปัจจุบันเป็น วัดตาขัน
15 วัดปากเเขก ตำบลบ้านปากเเขก ปัจจุบันเป็น วัดปากป่า
16 วัดมาบข่า ตำบลบ้านมาบข่า ปัจจุบันเป็น วัดมาบข่า
ต่อมาในปี พศ 2461 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นถึงปี พศ 2472 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ เป็นที่ พระครูวิจิตรธรรมานุวัติ ดังสำเนาประกาศพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ ดังนี้
พระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์
วันที่ 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2472 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ คือ ให้พระครูวงศ์ วัดบ้านค่าย เป็นพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ
เจ้าคณะเเขวงจังหวัดระยอง เรียนวิชากับหลวงพ่อกง
สำหรับมนต์คาถาเเละวิชาเเพทย์โบราณนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับการสอนประสาทวิชาจากพระภิกษุรูปหนึ่งคือ
หลวงพ่อกง ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวเขมรลูกผสมลาว ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ที่เมืองเขมร
หลวงพ่อวงศ์ ระยอง สมัยเป็นพระภิกษุหนุ่ม ได้ออกเดินธุดงค์เเสวงหาครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้วิชาทั้งหลาย ทั้งยังได้ฝึกปฏิบัติทางจิต ให้เกิดอำนาจเกิดพลัง เเต่การออกเดินธุดงค์กรรมฐานของหลวงพ่อวงค์นั้นท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อกง พระชาวเขมรเข้าจึงเดินธุดงค์เข้าเมืองพนมเปญ เเละได้ไปพักอยู่ที่วัดของหลวงพ่อกง เพื่อขอศึกษาเล่าเรียนวิชาด้วยเป็นเวลานาน วิชาที่หลวงพ่อกงได้ประสิทธิ์ให้หลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เป็นวิชาทางโลกทั้งสิ้น
1 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ เวทย์มนต์คาถา ที่ได้ปรากฎผลมาเเล้วอย่างหน้าอัศจรรย์
2 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การเล่นเเร่เเปรธาตุ การเรียนวิชานี้เเม้สำเร็จผลเเล้วสามารถดลสิ่งต่างๆเช่น โลหะให้กลายเป็นทองคำก็ได้ เสกน้ำธรรมดาๆ ให้เป็นทองคำเต็มขันได้ ให้ทองคำเต็มตุ่มก็ได้
3 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การทำน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งจะทำให้วันอันเป็นมงคล ซึ่งสุดเเต่ว่าจะเป็นงานอะไร รับรองว่าศักดิ์สิทธิ์นัก
4 หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ วิชาเเพทย์เเผนโบราณ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้ศึกษาตัวยาสมุนไพรในป่าจนเกิดความชำนาญ สามารถรู้จักรักษาเฉพาะโรคได้
หลวงพ่อวงศ์อบรมวิญญาณ
เมื่อได้อ่านประวัติของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง กับวิญญาณเเล้วก็อยากเล่าเรื่องผีให้จบสิ้นไปเลย เอาตอนรักษาโดยเฉพาะจะได้ไม่ยืดยาวคือ
ครั้งหนึ่ง มีชาวบ้านป่วยมาก ได้นำตัวไปรักษาพยาบาลภายในบ้านค่ายจนสถานที่คับเเคบไป นายเเพทย์สมัยนั้นไม่มี นอกจากตัวของหลวงพ่อวงศ์เอง เป็นทั้งหมอ เป็นทั้งพยาบาล เป็นทั้งผู้ปรุงยา
ส่วนคนไข้อีกประเภทหนึ่ง พวกนี้ถูกผีป่า เจ้าเขา เข้าสิงร่าง สิงดวงใจ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ต้องอาศัย ธรรมะ เข้าอบรมวิญญาณนั้นให้มาพูดคุยด้วย จนรู้เหตุของการเข้าสิงเเล้ว ท่านจะขอบิณฑบาตไม่ให้จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป
หลวงพ่อวงศ์ ระยอง อบรมด้วยอำนาจเเห่งจิตที่ทรงสมาธินั้นเเล้ว ท่านก็ทำพิธีกรรมอีกครั้ง คือ พรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ นับจากนั้น โรคภัยก็หายขาดไม่เกิดขึ้นอีกเลย
เหตุที่เกิด การที่ผีหรือวิญญาณหรือปีศาจ อะไรก็ได้ที่จะเรียกกันทั้งนั้น ถ้าจะเข้าสิงใครต่อใครได้ ก็ย่อมมีเหตุหลายประการเช่น
1 วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อเวร กันมาก่อนในชาติต่างๆ ได้ตามกระเเสของวิบาทกรรมนั้นมาถึงในชาตินี้ จึงเข้าสิงล้างเเค้น ทำให้ทุกร้อนด้วยกรณีต่างๆ
2 เป็นบุคคลที่ก่อกรรมทำชั่วตลอดเวลา จิตใจเเสวงหาเเต่สิ่งชั่วช้า ลามก เที่ยวเบียดเบียนทำลายชีวิต ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยตกล่วง เมื่อเพียรพยายามให้ทุกข์เเก่ท่าน ที่สุดทุกข์นั้นมาถึงตัว ก็ทำความเดือดร้อนอยู่กับที่ไม่ได้เหมือนไฟลุกลามให้เร่าร้อน วิญญาณเจ้ากรรมก็เข้าสิงกระทำสิ่งที่ตนเองไม่รู้ตัวเช่น ทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บ ทำอนาจารตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว ทำลายทรัพย์สินที่ตนสร้างขึ้นให้หมดไป จนสิ้นหลักเเหล่ง ไปในที่สุด
3 จิตเดิมของมนุษย์เป็นจิตที่บริสุทธิ์เป็นประภัสสร เเต่เนื่องจากกระเเสกิเลส ทำให้หลงใหลใฝ่ฝันตกหลุมพรางกิเลส ที่ไม่เคยนิยมให้คนทำความดี ตรงกันข้ามกลับนิยมชมชื่น ถ้าบุคคลทั้งปวงทำความชั่วช้าเลวทราม ยิ่งศีลธรรมด้วยเเล้ว เป็นอันหมดกันไม่มีติดดวงจิต ดวงใจเลย อัปมาดังเรือเดินทะเล ถ้าเปิดทางให้น้ำทะเลเข้ามาอยู่เสมอๆ มิช้ามินาน เรือลำนั้นจะต้องจมสู่ก้นทะเลลึกเเน่นอนฉันใด จิตใจมนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าไม่มีศีลธรรมภายในในดวงจิตเเล้ว ปากประตูใจถูกเปิด ก็ย่อมเป็นที่อาศัยของกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาเเทรกสิง เพราะความชั่วก็เข้าได้ บาปกรรมก็เข้าได้ ยักษี ผีเปรตก็เข้าได้ ไม่ช้าจิตก็เต็มไปด้วยของเสีย ของเน่า ดังนั้นผีจะเข้าร่าง จิตใจของมนุษย์ได้เเล้ว ย่อมไม่มีสิ่งอื่นนอกจาก 3 ข้อนี้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้อบรมสั่งสอนว่า ให้ตรวจ ให้ดูจิตใจเราเอง เหตุที่จะเกิด มันเกิดที่ใจเท่านั้น ความชั่วมิได้เเทรกเข้าเนื้อเข้าหนัง ไม่ได้เเทรกเข้าที่อื่นเลย ปิดช่องเข้าเสียซิ ถ้าเข้าหูก็อุดหู เข้าตาก็อุดตา เข้าปากก็อุดปากงับมันเสีย เข้าจมูกก็อุดมันเสีย ลิ้นก็ถูกปากงับไว้เเล้ว เพราะประตูเหล่านี้ เเหละที่กิเลสผีร้ายเข้าสิงใจได้ ดังนั้นเหตุเกิดที่ใจ ก็ต้องดับเหตุที่ใจเช่นกัน ผีเปรตอะไรจะเข้ามาได้ละทีนี้
วิธีรักษา หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เป็นพระที่ทรงศีล เป็นพระที่ดีวิเศษธรรม มีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อ ฉะนั้นใครก็ตามที่ถูกผีป่าเข้าสิง ท่านจะรักษาให้ด้วยดีเสมอมา การรักษาท่านมีวิธีการของท่านเเต่คงไม่พ้นหลักเมตตาเเละญานรู้เห็น หมายความว่า ก่อนทำการรักษา ท่านต้องกำหนดดูให้รู้เเจ้งว่า วิญญาณผีนั้น มีความสัมพันธ์กับคนป่วยหรือไม่อย่างไร เป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า เเละดูถึงจุดประสงค์เเละวิบากกรรมเก่า
1 เมื่อรู้ชัดเเล้ว ถ้าเเก้ไข้ได้ท่านจะเทศนาสั่งสอนดวงวิญญาณนั้นให้ละวางความพยาบาทเเละชี้ทางดีที่ควรให้ พร้อมทั้งเเผ่เมตตาด้วยกุศลเเห่งธรรม
2 พื้นฐานจะให้วิญญาณหรือผี เชื่อได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ด้วยศีลเเละความดีงามอันมีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ถ้าดีจริง มีศีลบริสุทธิ์จริง วิญญาณย่อมรู้เเละเชื่อฟังโดยดี
3 อัปมาดังบุรุษสองคน มีเหตุวิวาทบาดหมางกัน เมื่อบุคคลมาห้ามปราม บุคคลนั้นจะเป็นที่เคารพเชื่อถือของบุรุษ ทั้งสองฝ่าย จะต้องเป็นบุคคลดี มีศีล มีธรรม น่านิยมเลื่อมใส จึงจะยุติได้เพราะเชื่อฟังด้วยผลของความดี
หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เเห่งวัดบ้านค่าย ก็เช่นกัน ท่านเป็นพระภิกษุที่ทรงไว้ด้วยศีลาจารวัตร ไม่มีความด่างพร้อยอันใด การที่จะเอาผีร้ายออกจากจิตใจของคนป่วยนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือการบังคับขับไล่ด้วยเวทมนต์ เพียงเเต่อาศัยอำนาจความดีจริง มีพรหมวิหารธรรม เข้าต่อรองเท่านั้น ผีจะอนุโมทนาเข้าป่าหายไป (ป่ากิเลส)
น้ำมนต์ดอกบัวบาน
น้ำพระพุทธมนต์ที่ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้กระทำพิธีขึ้นนี้ เเม้ได้ยินชื่อก็ศรัทธาเสียเเล้วคือ พระเจ้า 5 พระองค์ หรือน้ำมนต์ดอกบัวบาน
การที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะสร้างน้ำพระพุทธมนต์วิเศษนั้น มิใช่ว่าทำได้ทุกวันเหมือนอย่างสำนักต่างๆ เช่นในปัจจุบัน ที่เขาทำกัน เเล้วกรองใส่ขวดขายขวดละ 20-30 บาทนะ ท่านไม่เอาหรอกน้ำมนต์ของท่านนั้น ในช่วง 1 ปี ท่านจะทำเพียงครั้งเดียว คือวันบูชาครู เเละอุปัชฌาย์ อาจารย์ผู้ให้กำเนิด คือ
1 ครู ก็หมายถึง องค์พระศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า (องค์สมณโคดมเจ้า)
2 พระอุปัชฌาย์ หมายถึง ครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์สั่งสอนอบรมให้เกิดศีล ให้เกิดธรรม
3 พระพรหมของบุตร คือ บิดาเเละมารดาผู้ให้กำเนิดซึ่งมือสอง ขาสอง ศรีษะหนึ่ง เป็นต้น เมื่อวันอันเป็นสิริมงคลมาถึง ท่านก็จะกระทำน้ำพระพุทธมนต์ เอาน้ำใส่โอ่งมังกร พร้อมทั้งนำเทียนไขมา เเล้วบริกรรมภาวนาจนจิตสงบเป็นสมาธิ ความอัศจรรย์นั้นคือน้ำตาเทียนที่หยดลงมานั้นจะเเตกเป็น 5 กลีบ มีลักษณะคล้ายดอกบัวบาน โดยในเเต่ละหยดของน้ำตาเทียนจะมีลักษณะเหมือนกันหมด มองดูเหมือนดอกบัวบานชูช่อ กลางสระน้ำฉันนั้น
สรรพคุณ น้ำพระพุทธมนต์ชนิดนี้ ดีเด่นหลายประการ
1 รดหรือ อาบ หรือ ประพรม ให้คนป่วยเป็นบ้าวิกลจริตเพ้อคลั่งจนดุร้าย หายดีนักเเล
2 คนถูกภูตผีปีศาจ อาละวาดสิงสู่ หรือพื้นที่เเผ่นดินเกิดอาอรรพถ์ พี่น้องคดโกงประสงค์ร้ายกัน ให้ใช้ประพรม อบรมด้วยอธิฐานจิตใช้ได้ดีนักเเล
3 ชายชาตรี สตรีองอาจ ให้อาบ รด ประพรม ให้อยู่คงกระพันเเคล้วคลาดปราดเปรื่องเรือง ปัญญาดีนักเเล หรือจะหลบ จะลี้ จะหลีก จะเลี่ยง ล้วนใช้ประโยชน์ได้ดีนักเเล
มหาประสาน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านมีมนต์ขลังอยู่บทหนึ่ง ซึ่งสามารถเเปลออกมาเป็นวิชามหาประสาน สมัยที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ยังมีชีวิตอยู่นั้น เเม้ว่าใครก็ตาม มีความประสงค์จะให้ท่านลงนะ โดยการเเผ่เมตตาจิตลงยังธูปหอม เเล้วนำกลับไปบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะทำให้ด้วยความยินดี วิธีของท่านคือ นำธูปทั้งซองมาถวายท่าน ท่านรับเอาไปเเล้ว ก็เขียนตัว นะ เป็นภาษาขอม จากนั้นท่านก็ตบเบาๆ ปรากฏว่าภายในซองที่บรรจุธูปทุกดอกจะติดเป็นอักขระ นะ ทุกดอก ตอนนี้เเหละเป็นช่วงสำคัญ หลังจากจุดธูปบูชาพระเเล้ว ขี้นั้นเองเป็นยาวิเศษมหาประสานใครเป็นเเผลก็เอาขี้ธูปมาปิดบาดเเผลจะหายวันหายคืน ถ้าใครถูกมีดบาด เลือดไหลไม่หยุด ก็เอาขี้ธูปทาตรงบาดเเผลเข้าเลือดจะหยุดไหลทันที บุรุษใดหลงทาง เกิดโดนคมเเฝกของหนุ่มบ้านอื่นกลับมาชนิดชอกช้ำดำเขียวมาละก็ไม่ยากอะไรเลยเเค่เอาน้ำพระพุทธมนต์ของท่านเเละขี้ธูปนั่นเเหละผสมเข้ากันเเล้วก็ทาถูๆ เเก้ชอกช้ำได้ดีนักเเล
ปีตกสิณ ความสามารถของ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง นั้น นับได้ว่าน่าทึ่ง น่าเลื่อมใสศรัทธา โดยเฉพาะหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ท่านมีความสามารถยิ่งรูปหนึ่งในวงการพระสงฆ์ไทย ความชำนาญของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง เท่าที่ศึกษามาทั้งหมด ดูเหมือนว่าท่านกระทำได้ทุกอย่าง เเละมีความชำนาญเสียด้วย ปีตกสิณ คือ การเพ่งสีเหลือง เเล้วอธิฐานจิตให้กลายสภาพเป็นอย่างอื่นนี้ ในประวัติของท่านได้กล่าวไว้ว่า คราวใดถ้ามีพระสหธรรมิก ผู้สนิทชื่นชอบกันเดินทางมาเยี่ยมเยือน หรือมาเพื่อเเลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง มักจะทำอะไรพิเศษๆให้ดู เเละโอกาสนี้บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ปรนนิบัติก็พลอยเป็นบุญตาไปด้วย ดังคราวนี้ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้หยิบใบพลูสดๆ สีเขียวมาจากเชี่ยนหมาก เเล้วก็วางไว้บน ขวามือ มืออีกข้างหนึ่งมาประกบไว้ ปากก็บริกรรมคาถา มือท่านก็ถูใบพลูไปมา ครู่เดียวเท่านั้นความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือใบพลูที่สีเขียวสดนั้นบัดนี้ได้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปเสียเเล้ว ท่านส่งไปให้พระสหธรรมิกชม ส่งไปดูกันรอบๆ กลับมาถึง ท่านเเล้ว ท่านได้โยนลงกระโถนพร้อมพูดว่า นี่มันเป็นของไม่จริง เราสร้างขึ้นเอง อำนาจของปีตกสิณ สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ใจปราถนา นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์ทั้งพระเณรฆราวาส ก็ยังได้ดูของวิเศษหลายอย่างอีกด้วย เช่น หลวงพ่อวงศ์ท่านเอาผ้าเช็ดปาก เช็ดน้ำหมาก เพราะท่านฉันหมากพลู มาถือ บริกรรมชั่วครู่เดียวท่านก็โยนผ้าลงไป กลายเป็นตะขาบตัวเขื่อง คลานวนเวียนไปมา บางคราวท่านก็เอาผ้าอีกนั้นเเหละ เสกบริกรรมชั่วครู่เดียว กระต่ายสีขาววิ่งไปมาทั่วกุฏิของท่านเเละนี่คือความจริงที่หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้กระทำให้เกิดขึ้นมาเเล้วเเต่อดีต
รู้มรณกาล มีเรื่องที่จะเล่าเเทรกไว้ในตอนนี้เกี่ยวกับ เรื่องมรณภาพของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง คือ ก่อนมรณภาพดูหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ชรามาก เพราะเป็นผู้ที่บากบั่นทำการงานหนักมาเเต่อายุน้อย เเม้บวชเเล้วก็ทำงานในด้านพัฒนาวัด ทั้งเมื่อได้รับเเต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะเเขวงเเละพระอุปชฌาย์ ตลอดจนเมื่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ก็มีกิจนิมนต์ต่างๆ ทั้งในด้านบวชกุลบุตรซึ่งจะต้องเดินทางรอนเเรมไปในที่ต่างๆทั้งใกล้เเละไกล ประกอบกับการเดินทางในสมัยนั้นไม่มียานพาหนะที่จะอำนวยความสะดวกเช่นในปัจจุบันนี้ ต้องใช้เกวียนไปจึงเหน็ดเหนื่อยมาก ก่อนหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมรณภาพไม่นาน ท่านจะพูดว่า ใบไม้เหลืองเเล้วก็ต้องร่วง ใบอ่อนก็ผลิเเตกขึ้นมาเเทน เป็นธรรมดาของโลก วันสองวันกูก็จะสบายเเล้ว มอบวัดให้คุณดิ่ง ครอง 2 วัดคือ วัดบ้านค่าย เเละ วัดไผ่ล้อม
ดูหลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะทราบมรณภาพของท่าน คือหลังจากได้ปรารถถึงความตายเเล้ว ท่านก็จัดการกับลูกศิษย์ของท่านชื่อ นายไหล ซึ่งมาอยู่วัดกับหลวงพ่อตั้งเเต่อายุ 5 ขวบ จนถึง 13 ขวบ โดยให้นายไหลไปอยู่กับหลวงพ่อทบ วัดกะบกขึ้นผึ้งเป็นการจัดการเรื่องของศิษย์ที่ท่านเป็นห่วงอยู่เป็นที่เรียบร้อย ในวันมรณภาพนั้น หลังจากฉันเช้าเเล้ว ท่านพูดพึมพำว่า ถึงเวลาเเล้วก็กลับไป เเล้วสั่งว่า ถ้าท่านมรภาพเวลาปลงศพให้ใส่เปลือกข่อยลงไปด้วย หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ถือพิมพ์ยา ไปกดพิมพ์เป็นลูกกลอน เมื่อกดพิมพ์ได้พอสมควรเเล้วก็มานั่งปั้นเป็นลูกกลอน ขณะที่ปั้นอยู่นั้นหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั่งตะเเคงมรณภาพด้วยอาการสงบ ตรงกับที่หลวงพ่อเคยปรารถไว้ทุกประการ ในการปลงศพของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เมื่อจุดไฟประชุมเพลิงปรากฎว่าจุดไฟไม่ติด ได้พยายามจุดกันหลายหนก็ไม่ติด จนนายไหลซึ่งเป็นศิษย์นึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ก่อนมรณภาพ จึงไปถากเปลือกข่อย มาสุมไฟจึงติดเเละประชุมเพลิงได้ ในขณะที่ไฟกำลังลุกอยู่นั้น บรรดาผู้ที่มาร่วมกันประชุมเพลิง ได้เห็นไก่ขาวบินจากทางทิศเหนือผ่านซุ้มประตู ข้ามเมรุ บินหายเข้าไปกุฏิหลวงพ่อ จากเหตุที่ไก่ขาวบินเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อนั้นเป็นนิมิตทำนองบอกใบ้ไว้ว่า ถัดจากหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษอีกท่านหนึ่งมาอยู่ที่วัดบ้านค่าย นั้นก็คือหลวงพ่อดิ่งนี่เอง ซึ่งเป็นศิษย์องค์เเรกที่หลวงพ่อวงศ์ ระยองอุปสมบทให้
รวมสิริอายุของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง หรือ ท่านพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ เเห่งวัดบ้านค่าย ได้ 83 ปี รวมพรรษา 59 ปี
หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้อำลาชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยลำเค็ญไปเเล้ว ฝากไว้เเต่ความดีมีอุปาระเเก่ญาติโยมได้ระลึกถึงอย่างไม่มีวันลืม
เหรียญหลวงหลวงพ่อวงศ์ ระยอง,หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง
ท่านได้สร้างเหรียญไว้ 5 รุ่นด้วยกัน คือ
1. เหรียญหลวงพ่อวงศ์ ระยอง รุ่นพระพุทธชินราช หรือเหรียญบัวผุด ปี 2472 ลักษณะเหรียญคล้ายเหรียญหลวงปู่บุญ วัดกลางบางเเก้วเเตกต่างกันตรงที่ใบบัวเเถวล่างของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ด้านขวามือขององค์พระหายไปหนึ่งกลีบ
เหรียญหลวงพ่อวงศ์ ระยอง รุ่น บ้านไข้ รุ่นนี้ประวัติที่วัดยังไม่มีรูปถ่ายเเละประวัติไม่เเน่ชัดเพราะไม่มีภาพถ่ายเเละประวัติอยู่ในวัด
4. เหรียญทรงอาร์มหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ฉลองอายุ 80 ปีรุ่นนี้ทีวัดภาพถ่ายเก่าเขียนไว้ว่ารุ่น 4-5
เหรียญทรงอาร์มหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ฉลองอายุ 80 ปีรุ่น4 เนื้อทองเเดงกะหลั่ยเงินมีรอยจารด้านหลังองค์พระบล๊อกนิยมสระเอไม่เเตกหลวงพ่อวงศ์จัดสร้างเมื่อ พ.ศ.2480 เป็นบล๊อกนิยม ส่วนภาพล่างเป็นของบล๊อกสระเอเเตกหลวงพ่อดิ่งจัดสร้างเมื่อ พ.ศ.2496 หรือ 2497
การโชว์เหรียญหลวงพ่อวงศ์ ระยอง เเต่ละประเภทนั้นเป็นการโชว์
เพื่อเเนวทางศึกษาเท่านั้นไม่อาจเป็นข้อยุติว่าเป็นเหรียญเเท้เเละเหรียญไม่เเท้ การเช่าซื้อเเละสะสมควรระวังเพราะของเก๊มีทุกรุ่น การเช่าซื้อควรปรึกษาผู้รู้ขอขอบคุณเจ้าของภาพทุกเหรียญในที่นี้ไม่ไช่เป็นพาณิชย์เเละขอบคุณข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่เเละวัดบ้านค่ายที่ให้ข้อมูล ขอบคุณครับ
ข้อความทั้งหมดท่านสามารถใช้เพื่อทางการศึกษาได้
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://bermudathai.blogspot.com/2012/07/80.html
วิธีดูเหรียญ แท้ ปลอม สร้างเมื่อไร มีเกณฑ์พิจารณาอย่างไร
วิธีดูว่าเหรียญหลวงพ่อมีอายุเท่าไร สร้างในพ.ศ.ไหนตามหลักมาตรฐาน สากลนิยม
ในปัจจุบันนี้ พระเครื่องประเภทเหรียญพระพุทธ และเหรียญคณาจารย์รุ่นเก่าๆ โดยเฉพาะเหรียญหลักยอดนิยมในอันดับต้นๆ มีค่านิยมสูงมาก การทำปลอม จึงมีการพัฒนาวิธีการทำได้ใกล้เคียงของแท้มาก เนื่องจากของปลอมนำเหรียญแท้ไปถอดพิมพ์ จึงทำให้ของปลอมมีจุดตำหนิที่ด้านหน้าและด้านหลังของเหรียญ ใกล้เคียงกับของแท้มาก จะแตกต่างกันที่ความชัดของตัวหนังสือ และความชัดของเส้นแตก รูเจาะหูเหรียญ ตลอดจน ขอบข้างของเหรียญ ซึ่งเป็นจุดสำคัญ ในการพิจารณาเหรียญที่สำคัญที่สุด
ท่านจะเห็นได้ว่า ในการซื้อ-ขายเหรียญนั้น ผู้ชำนาญการจะจบลงที่การพิจารณาขอบข้างของเหรียญ ซึ่งเป็นบทสรุปในการพิจารณาว่า แท้หรือไม่ เพราะขอบด้านข้างของเหรียญ ยังไม่สามารถปลอมแปลงได้เหมือน เนื่องจากร่องรอยที่เกิดขึ้นที่ด้านข้างของเหรียญนั้น เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากขั้นตอนการผลิต
อย่างไรก็ตาม การปั๊มตัดข้างเหรียญนั้น แบ่ง ออกเป็น 3 ยุค คือ 1.ยุคประมาณ พ.ศ.2440-พ.ศ.2485 2.ยุคประมาณ พ.ศ.2486-พ.ศ.2499 3.ยุคประมาณ พ.ศ.2500-ปัจจุบัน
1. เหรียญช่วงปี พ.ศ.2440-พ.ศ.2485 นิยมสร้างเหรียญที่มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม รูปไข่ รูปทรงอาร์ม และทรงเสมา รูปทรงเหรียญทั้งสี่แบบนี้ สามารถแยกกรรมวิธีการสร้างได้เป็น ๒ ชนิด คือ เหรียญปั๊มชนิดข้างเลื่อย และเหรียญปั๊มชนิดข้างกระบอก ซึ่งเหรียญที่มีกรรมวิธีการสร้างทั้ง ๒ ชนิดนี้มีรายละเอียด คือ เหรียญปั๊มข้างเลื่อย คือ การนำแผ่นโลหะที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดของตัวเหรียญ มาทำการปั๊มขึ้นรูปเหรียญ ให้ได้ตามลักษณะรูปทรงของเหรียญ ตามต้องการ จากนั้นนำมาเลื่อยฉลุโลหะส่วนที่เกินออกมาเป็นเหรียญตามรูปทรงนั้นๆ วิธีการนี้จึงเรียกว่า "เหรียญปั๊มข้างเลื่อย" ซึ่งบริเวณด้านข้างของเหรียญจะปรากฏรอยเลื่อยให้เห็นเหรียญปั๊มข้างกระบอก คือ เหรียญปั๊มข้างกระบอกนั้น ส่วนใหญ่โรงงานปั๊มเหรียญจะทำบล็อกกระบอกเป็นรูปทรงกลม และรูปไข่เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการทำกระบอกที่จะนำมาปั๊มเหรียญจะมีวิธีทำที่ไม่ยุ่งยาก และไม่เสียเวลามากนัก แต่เหรียญที่มีข้างกระบอกไม่ได้มีเพียงรูปทรงกลมและรูปไข่เท่านั้น รูปทรงเสมาและรูปทรงอาร์มก็มีเช่นกัน แต่น้อยมาก เนื่องด้วยกรรมวิธีการทำที่ยุ่งยากกว่า
เท่าที่พบในการสร้างเหรียญปั๊มข้างกระบอก รูปทรงอาร์ม และรูปทรงเสมา ในปี พ.ศ.2440-พ.ศ.2485 ก็มีเหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ พิมพ์ขอเบ็ด เหรียญหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก พิมพ์หน้าใหญ่ เป็นต้น
การปั๊มแบบข้างกระบอก คือ การนำแผ่นโลหะมาเลื่อยตามรูปทรงของเหรียญที่จะทำการปั๊ม เพื่อเข้ากระบอก และทำการปั๊มรูปเหรียญนั้นๆ แผ่นโลหะที่ถูกแรงกระแทกจากการปั๊มขึ้นรูปนั้นขอบด้านข้างจะปลิ้น ไปเบียดกับขอบกระบอก ที่เป็นตัวบังคับดังนั้น ด้านข้างของเหรียญปั๊มชนิดนี้จึงเรียบเนียน เนื่องจากการปั๊มเข้ากระบอก โดยมีตัวกระบอกเป็นตัวบังคับ แต่หากพบรอยเส้นทิวบางๆ ในขอบข้างของเหรียญชนิดนี้ก็อย่าตกใจ เพราะสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการที่ช่างแต่งตัวบล็อกกระบอก ที่จะปั๊มเหรียญไม่เรียบ เวลาปั๊มออกมาจึงมีลักษณะไม่ค่อยเรียบตามตัวบล็อค
2.เหรียญปั๊มข้างตัด (ปั๊มตัดแบบยุคเก่า) การสร้างเหรียญชนิดนี้จะอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ.2486-พ.ศ.2499 เนื่องจากการสร้างชนิดแบบเก่าที่มีการเข้ากระบอก และแบบเลื่อยขอบ มีความยุ่งยาก และเสียเวลา อีกทั้งในช่วงนี้เริ่มมีวิวัฒนาการในการสร้างเหรียญปั๊มขึ้นมาตลอด เครื่องจักรก็เริ่มมีความทันสมัยขึ้น โรงงานมีการทำตัวตัดขึ้นเพื่อความสะดวกในการตัดเหรียญให้ขาด โดยไม่ต้องมาเลื่อยให้เสียเวลาอีก แต่การปั๊มเหรียญและตัดในยุคนั้น จะแตกต่างกับเหรียญในปัจจุบัน คือ ด้านข้างของเหรียญจะมนๆ ไม่ค่อยมีริ้วรอยมากนัก อีกทั้งเหรียญช่วง พ.ศ.นี้ลักษณะของเหรียญด้านหน้าจะนูนเล็กน้อย แต่ด้านหลังจะเป็นแอ่งกระทะ ซึ่งเกิดจากการปั๊มและตัดเหรียญนั่นเอง ตัวอย่างของเหรียญที่สร้างขึ้นในยุคนี้ เช่น เหรียญหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง บล็อกยันต์วรรค ปี 2486 เป็นต้น
3.เหรียญปั๊มยุค พ.ศ.2500-ปัจจุบัน
ในยุคนี้มีการพัฒนาตัวตัดด้านข้างเหรียญที่ทันสมัย เพื่อความสะดวกในการตัดเหรียญจำนวนมากๆ การพัฒนาตัวตัดยุคนี้จึงค่อนข้างคมชัด บางครั้งในเหรียญหลวงพ่อเดียวกัน มีตัวตัด ๒ ตัว เนื่องจากการสร้างเหรียญในแต่ละครั้งมีจำนวนมากขึ้น เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ รุ่น ปี พ.ศ.2500 และเหรียญ 25 พุทธศตวรรษ เนื้อทองคำ และเนื้อเงิน ด้วยเหตุนี้ตัวตัดในยุคนี้จึงค่อนข้างคม เพื่อสะดวกในการตัดเหรียญจำนวนมากๆ
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องเหรียญ สามารถศึกษาข้อมูลได้ในหนังสือ "เปิดตำนานเหรียญ" ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมเหรียญดังทุกยุค ทุกรุ่น ทุกพิมพ์ ที่นิยมในวงการพระเครื่อง รวมทั้งเรื่องของเหรียญเก่า เหรียญแพง เหรียญหายาก ที่ยังไม่มีการทำปลอม โดยจะมีรายละเอียดทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และขอบของเหรียญ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณาใช้คำสุภาพเเละไม่ใช้คำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเเก่ส่วนรวมเเละบุคคลอื่นขอบคุณครับ