ติดตามข่าวสารทางสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยได้ที่หัวข้อด้านซ้ายมือผู้อ่านครับ เเละขออภัยครับสำหรับท่านที่ส่งให้ดูพระหรือให้บูชาพระทาง emailบางครั้งผู้จัดไม่ได้เข้าไปตอบกลับหรือตอบกลับเเต่ก็เป็นเเค่พื้นฐานตามหลักสากลนิยมเท่านั้นเเต่ก็มีอาจารย์หลายๆท่านที่วงการยอมรับเเละที่ตรวจเช็คจากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยเท่านั้นในการชี้ขาดในการส่งประกวดเเล้วเเต่ละงานควรเลือกดูด้วยตัวท่านเองหรือถ้าให้มั่นใจควร ส่งพระให้สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยออกใบรับรองพระแท้ซึ่งสมาคมจะเชิญผู้ชำนาญการพระเเต่ละประเภทมาทำการตรวจสอบ สมาคมจัดประมาณปีละ ๒-๓ ครั้ง ณ ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ชั้น ๓ ในเเต่ละปีก็สามารถติดตามข่าวสารจากสมาคมได้น่ะครับจากที่กล่าวมาเเล้ว ขอบคุณครับ

หน้าเว็บ

ประวัดิการสร้างพระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประวัดิการสร้างพระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆังเเละประวัติหลวงปู่หิน วัดระฆัง                                                                                                                                           

 พระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง หลวงปู่หินเป็นพระเถราจารย์ผู้กล้าวิทยาคม ที่หลวงปู่นาค วัดระฆัง เจ้าอาวาสก็ยังให้ความนับถือ ในธรรมปฎิบัติเเละวิทยาคมดังที่ทราบกันว่าในปี พ.ศ 2500 อันเป็นกึ่งพระพุทธกาลนั้น ได้มีวัดต่างๆสร้างวัตถุมงคลมากมายในพระนครนั้น วัดระฆัง ธนบุรี หลวงปู่หินได้สร้างพระพิมพ์สมเด็จออกเเจกครั้งเเรกตามประวัติที่ได้บันทึกไว้เป็นที่ชัดเจนของนักสะสมรุ่นเก่านับตั้งเเต่ พ.ศ 2482-2515 มีนับสิบๆพิมพ์เป็นพระสมเด็จที่ปรากฎมีอภินิหารมาตลอดเพราะมีผงเก่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ลงคุลีผสมอยู่ด้วย วัดระฆัง ธนบุรี เป็นวัดที่ชุมนุมพระเถระกล้าวิทยาคมมากรูปเมื่อราว 50กว่าปีที่ผ่านมาทุกท่านยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเเต่ปัจจุบันมรณภาพไปหมดเเล้ว อาทิ หลวงปู่นาค ท่านเจ้าอาวาส หลวงปู่ขวัญ หลวงปู่พ่อเเช่ม หลวงพ่อช้อย หลวงพ่อหนู หลวงพ่อบุญ พระครูปลัดพักตร์ พระครูวินัยธรจุ้ย พระอาจารย์โชติ ธรรมจริยะ เเละหลวงปู่หิน วัดระฆัง ในบรรดาพระอาจารย์เหล่านี้ หลวงปู่นาคเเละหลวงปู่หินเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุด เเม้กระทั่งพระอาจารย์ต่างๆก็ให้ความเคารพนับถือ มีสังฆกิจอะไรมักจะมาปรึกษาหารือทั้งสองท่านเสมอ           ประวัติหลวงปู่หิน วัดระฆัง                                                                                                                                                ตามประวัติที่บันทึกไว้ที่วัดระฆังเเละประวัติเเจกในงานศพของท่านเมื่อปีพ.ศ. 2521 เเล้ว หลวงปู่หิน วัดระฆัง ท่านเกิดที่ประเทศเขมร เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2442 ตรงกับวันพฤหัสบดีขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน ที่ตำบลจาง อำเภอตะเเบก จังหวัดเปรเเวง ประเทศกัมพูชาโยมบิดาท่านชื่อคิม โยมมารดาท่านชื่ออินทร์ อาชีพของโยมบิดามารดาคือทำนา เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ภายหลังได้ลาสิกขาบท มาช่วยโยมบิดามารดาท่านขยันขันเเข็งจนอายุครบ 21 ปี จึงได้อุปสมบทวัดธนาคันในละเเวกใกล้บ้านนั้นเอง โดยมีพระนพรัตนวงศา เป็นพระอุปชฒาย์ พระอาจารย์เเรมเป็นพระกรรมาจารย์ เเละมีพระมงคลเถระเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ภายหลังอุปสมบทเเล้ว หลวงปู่หิน ก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยเเละวิทยาคมควบคู่กันไป ในพรรษาเเรกท่านได้เรียนทีวัดธนาคันอันเป็นวัดที่ท่านบวช ครั้นภายหลังวิชาเเก่กล้าพอสมควรเเล้วท่านก็ได้เเสวงหาพระอาจารย์เพื่อต่อวิชาที่พระตะบอง จนเชี่ยวชาญในพระธรรมพระอาคมไสยเวทย์พุทธเวทย์เเล้วก็เดินธุดงค์มายังประเทศไทย โดยเริ่มต้นมาจากเมืองเสียมราฐ เข้ามาทางด้นอรัญประเทศ เดินเรื่อยมาจนถึงกบินทร์บุรี นครนายก สระบุรี เเละได้ เเวะมนัสการพระพุทธบาท จากนั้นได้ธุดงค์กลับไปวัดธนาคัน ประเทศเขมร อีกไม่นานต่อมาท่านธุดงค์เข้ามาไทยอีกคราวนี้ขึ้นทางเหนือ เข้าจังหวัดตากเเละมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ จากนั้นธุดงค์ล่องใต้ลงมาที่สุโขทัย พักทีวัดพุทธปางค์ เเล้วล่องลงมาเรื่อยจนถึง จังหวัดอยุธยา ได้พบพระอุปัชฌาย์เทพ เจ้าอาวาส วัดทางหลวง ตำบลปลายกัด อำเภอบางซ้าย ซึ่งรู้จักกันในคราวที่หลวงปู่ธุดงค์เข้าไทยครั้งเเรก ดังนั้นพระอุปัฌาย์เทพจึงได้ชวนหลวงปู่พักที่วัดทางหลวงเมื่อหลวงปู่หินมาอยู่เเล้ว ท่านก็มิได้อยู่นิ่งเฉยช่วยก่อสร้างเสนาสนะสงฆ์ วิหาร ศาลาฟังธรรม ขนาดใหญ่ รวมเวลาที่ท่านอยู่วัดทางหลวง เป็นเวลา 11 พรรษา ความจริงหลวงปู่หินท่านได้ตั้งใจจะอยู่วัดทางหลวงเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ก็จะธุดงค์มาวัดระฆัง ธนบุรี เพราะศรัทธาในกิตติศัพท์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตตั้งเเต่อยู่ประเทศเขมรเเล้ว เเต่เผอิญพระอุปัชฌาย์เทพ ได้ขอร้องขอให้ท่านอยู่ช่วยวัดทางหลวงไปก่อน หลวงปู่ก็อนุโลมตามเพราะพิจารณาเห็นว่าอยุ่ช่วยวัดทางหลวง ก็เป็นการค้ำจุนพระศาสนาให้เเข็งเเกร่งเเละถวายเป็นพระพุทธบูชาได้เช่นกัน ครั้นเมื่อหลวงปู่หินเห็นว่าวัดทางหลวง มีความเจริญตามสมควรเเล้ว ท่านจึงได้อำลาพระอุปัชาฌย์เทพตรงไปยังวัดระฆัง ทันที หลังจากเก็บความประสงค์ส่วนตัวของท่านเองไว้ถึง 11 ปีเต็ม เพราะระยะเวลาผ่านมา ท่านมีความตั้งใจมาวัดระฆังโดยตลอด เเต่เพื่อช่วยวัดทางหลวงท่านจึงรั้งรออยู่จนกระทั่งได้โอกาส ในปีที่หลวงปู่หินมาวัดระฆังนั้นตรงกับปี พ.ศ. 2478 เมื่อถึงวัดระฆังเเล้ว ท่านได้ตรงไปกราบนมัสการหลวงปู่นาค ขณะนั้นมีสมณศักดิ์เป็นพระราชโมฬี  เจ้าอาวาสปรากฎว่าทั้งหลวงปู่หินเเละหลวงปู่นาคต่างสนทนาธรรมกันอย่างออกรสเเละถูกอัธยาศัยกันเนื่องจากเป็นพระสุปฎืปัณโณด้วยกันหลวงปู่นาคจึงชวนหลวงปู่หินให้อยู่เสียที่นี้หรือวัดระฆังโดยพักอยู่คณะ 3 ซึงอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัด ปัจจุบันเป็นโรงเรียนโฆษิตสโมสร โดยเหตุที่หลวงปู่หินที่มีความศรัทธาในกิตติศัพท์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตมากตั้งเเต่เเรกเเละศรัทธานั้นเเรงกล้ามาก เมื่อมีโอกาสอยู่วัดระฆังอันเป็นวัดที่เคยสถิตย์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จเเล้ว ท่านจึงเสียสละทุกอย่างโดยไม่เห็นเเก่เหนื่อยยากในอันที่จะช่วยหลวงปู่นาคสร้างวัดระฆังให้เจริญรุ่งเรือง เเละหลวงปู่นาคก็เห็นว่าหลวงปู่หินมีธรรมปฎิวัติสูง มีศีลาจริยวัตรทีงดงามมีการปฎิบัติที่เคร่งครัด จึงได้เเต่งตั้งหลวงปู่หินเป็นผู้ช่วยในการสอนกรรมฐานเเก่พระภิกษุสามเณรในวัดเเละต่อมาได้เเต่งตั้งท่านเป็นเจ้าคณะ 7 มีหน้าที่ปกครองดูเเลสงฆ์ในคณะอีกด้วย ปี พ.ศ.2495 ทางวัดมีดำริได้ย้ายกุฎิสงฆ์ทางด้านทิศเหนือของพระอุโบสถลงมาไว้ด้านทิศใต้ติดชายคลอง หลวงปู่นาคเล็งเห็นว่าหลวงปู่หินมีความสามารถในการพัฒนาเเละก่อสร้าง จึงได้เเต่งตั้งให้หลวงปู่หินเป็นเจ้าคณะ 7 มีหน้าที่ดำเนิน
การก่อสร้างเเละปกครองพระภิกษุสงฆ์ ในการก่อสร้างสมัยนั้นต้องอาศัยเเรงงานพระภิกษุเป็นสำคัญหลวงปู่หินต้องเป็นช่างควบคุมการก่อสร้างทุกอย่าง ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 5 เดือนเศษ กุฎิทั้ง 5หลัง ก็เรียบร้อยสิ้นเงินไปเพียง 5000 บาทเศษเท่านั้น เพราะท่านใช้ไม้เก่ามาประกอบเข้าใหม่ทั้งสิ้น นอกจากจะช่วยพัฒนาบูรณะวัดระฆังเป็นการใหญ่เเล้ว หลวงปู่หินยังได้พัฒนาวัดทางหลวงเป็นวัดที่ท่านอยู่รวมทั้งวัดหนองครก อำเภอเเม่จัน จังหวัดเชียงราย สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เป็นต้น กล่าวได้ว่าหลวงปู่หินเป็นพระนักพัฒนาที่สำคัญรูปหนึ่งของเมืองไทยทีเดียว เคยมีลูกศิษย์บอกว่าหลวงปู่อายุมากเเล้วอย่าทำอะไรที่เป็นภาระหนักประเดี่ยวจะเจ็บป่วย หลวงปู่ตอบว่า การมาบวชในพระพุทธศาสนานั้นคิดเสมอว่าได้สละชีวิตเป็นพุทธูชา การใดก็ตามเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลพระศาสนาของพระบรมศสาดาเเล้ว ถือเป็นกิจของสงฆ์ที่ต้องกระทำเมื่อตายเเล้วก็หมดหน้าที่ หมดภาระ เพราะพระท่านมอบหมายมาเพียงเท่านี้ ไม่ต้องทำกันเเล้ว คำพูดของท่านถือว่าเป็นพระอริยสงฆ์ที่สำเร็จธรรมขั้นสูงเเละท่านมักกล่าวคำคมให้เป็นปริศนาธรรมชวนให้คิดเสมอถือว่าเป็นพระอริยะสงฆ์ที่ควรเเก่เคารพ กราบไหว้เป็นอย่างมาก หลวงปู่หินเป็นพระมีเมตตาบารมีสูงสังเกตุได้จากผู้คนไปหาท่าน ท่านจะต้อนรับทุกคนโดยไม่เลือกว่าเป็นใคร พร้อมกับการสั่งสอนให้เป็นคนมีศีล มีธรรม ประพฤติตนไม่ให้อยู่ในความไม่ประมาทในตอนที่มีชีวิตอยู่ เเม้กระทั่งหลวงปู่นาคยังชื่นชมหลวงปู่หินอยู่บ่อยๆซ้ำได้ห้ามปรามสาธุชนที่ไปรบกวนหลวงปู่หินบ่อยๆว่า อย่าไปขออะไรท่านนักเลย ท่านเป็นพระไม่มีอะไรเเล้ว ท่านเป็นพระหินทั้งองค์จะขออะไรท่านให้หมดบางอย่างคนที่ไม่รู้เท่าถึงการณ์ขอไปเเล้วจะบาปจะกรรมเปล่าๆ หลวงปู่หินนอกจากสำเร็จธรรมขั้นสูงเเล้ว มีอะไรท่านมักถามพระเเละท่านมักจะนั่งเข้าฌานโดยอยู่ในกุฎินานๆที่อยู่ส่วนตัวเสมอๆเคยมีคนบอกว่หลวงปู่เคยนั่งเข้าฌานสมาบัติไปหาประคุณสมเด็จโตในทางสมาธิเสมอๆเพราะมีคนเคยถามท่านจึงพูดติดตลกว่าบางครั้งก็ไปปรึกษาธรรมะกับประคุณสมเด็จโตทุกคนที่ถามก็เเปลกใจเเต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรต่อเพราะท่านมักจะพูดปริศนาให้คิดเสมอๆ หลวงปู่หินท่านมีวิทยาคมสูงเเก่กล้า ก่อนที่ท่านจะเริ่มทำพระพิมพ์เเจกออกจ่ายครั้งเเรกในปี 2482  นั้นหลวงปู่สำเร็จวิชาทำสูตรลบผงวิเศษทั้ง 5 อย่าง คือผงพระพุทธคุณ มหาราช ปถมัง ตรีนิสิเห อิทธเจ วิชาทำสูตรลบผงตรีนิสิงเห ท่านสำเร็จก่อน ต่อมาท่านได้สำเร็จวิชาทำผงวิเศษทั้ง 4 ชนิด พระพิมพ์สมเด็จของหลวงปู่นอกเหนือจากจะมีผงพระสมเด็จ วัดระฆัง ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตลงผสมด้วยเเล้วยังมีผงวิเศษทั้ง 5 ของหลวงปู่ผสมอีกด้วยเวลาปลุกเสกดังกล่าวเเล้วท่านมักจะปลุกเสกด้วยพระคาถาชินบัญชรอันศักดิ์ศิทธิ์เเละขลังยิ่งของประคุณสมเด็จโต ลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านเล่าให้ฟังว่าในยามหลวงปู่หินปลุกเสกพระพิมพ์ สมเด็จ ในพระอุโบสถ์วัดระฆังนั้น หลวงปู่จะเอาบาตรตั้งไว้ด้วย ขณะบริกรรมพระคาถาอยู่นั้นคุณไสยต่างๆที่ลอยมากลางอากาศจะตกลงในบาตรน้ำมนต์นั้นเป็นฟองเดือดฟู่พร้อมทั้งมีเสียงดังของวัตถุกระทบบาตรให้ได้ยินเนืองๆลูกศิษย์เคยสอบถามหลวงปู่ว่าเสียงดังนั้นเป็นอะไร หลวงปู่ตอบว่าเป็นพวกตาปู ก้อนหิน หรือของเเข็งที่เป็นคุณไสย์เเต่เป็นที่น่าประหลาดใจว่าเมื่อมาดูที่ก้นบาตรที่วางอยู่ก็ไม่เห็นมีอะไรอยู่มีเเต่น้ำมนต์เปล่าๆเท่านั้น ถามหลวงปู่ว่าคุณไสยเหล่านั้นหายไปไหน หลวงปู่ตอบว่าถูกทำลายหมดโดยพระคาถาชินบัญชร พระพิมพ์ที่หลวงปู่หินมีการสร้างมวลสารข้างในดี มีการปลุกเสกดีสมัยก่อนลูกศิษย์ประสบการณ์อภินิหารปาฎิหาริย์มากมายสุดที่จะกล่าวบรรยาย มีพุทธคุณในด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ เเคล้วคลาด คงกระพัน ในบรรดาพระผงของเกจิด้วยกันเเม้หลวงปู่หินจะสร้างพระพิมพ์สมเด็จมาหลายครั้ง เเต่ปีที่ท่านสร้างเป็นทางการคือปี พ.ศ 2500 อันเป็นปีกึ่งพุทธกาล ตามวัดวาทั่วประเทศมีการฉลองสมโภชใหญ่ รวมทั้งหลวงปู่หินก็ได้ทำพระสมเด็จขึ้นเช่นพระพิมพ์สมเด็จขนาดเล็กมากๆหรือขนาดจิ๋ว ขนาดกระทัดรัดราวๆปลายนิ้วก้อยเเล้วยังมีพระพิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ขนาดเล็กหรือขนาดจิ๋วขนาดกว้าง 1 ซ.ม ยาว 1.35 ซ.ม  เเละยังมีเป็นสิบๆพิมพ์เเต่จะเป็นพิมพ์ไหนก็ตามใช้ได้ทั้งสิ้น
 หลวงปู่หินมรณภาพเมื่อ พ.ศ. 2521 ซึ่งมีพระเถระหลั่งไหลเข้าร่วมงานพิธีศพหลวงปู่มากมาย

ข้อมูลเพิ่มเติม http://bermudathai.blogspot.com/2012/06/blog-post_07.html



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรุณาใช้คำสุภาพเเละไม่ใช้คำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเเก่ส่วนรวมเเละบุคคลอื่นขอบคุณครับ

กระดานพูดคุยเเสดงความคิดเห็นทั่วไป

comments powered by Disqus

เเสดงความคิดเห็นผ่านFacebook